คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6829/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้นางสาวสุพรรณีกับจำเลย และผู้ค้ำประกันคนอื่น ๆ จะร่วมกันค้ำประกันหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คของบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ด้วยกัน และโจทก์จะได้รับชำระหนี้จากนางสาวสุพรรณีบางส่วน กระทั่งโจทก์ปลดหนี้ให้โดยได้ถอนฟ้องนางสาวสุพรรณีในคดีแพ่งดังกล่าวด้วย การที่โจทก์ได้นำหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 23817/2532 ที่พิพากษาตามสัญญายอม โดยนางสาวสุพรรณีมิได้ร่วมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วย มาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายเป็นคดีนี้ นางสาวสุพรรณีจึงมิได้เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยในหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง แม้โจทก์จะปลดหนี้ให้แก่นางสาวสุพรรณีก็ไม่ใช่กรณีที่โจทก์ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมกับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 และมาตรา 293

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาขายลดเช็ค แล้วไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ โดยบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด และผู้ค้ำประกัน ได้แก่ นายวิวัฒน์ อรรถประสิทธิ์ นายสมศักดิ์ แซ่ฉั่ว และจำเลย ร่วมกันชำระเงิน ๒,๖๖๕,๕๗๙.๓๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย ตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือน นับจากวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๘๑๗/๒๕๓๒ บริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ชำระหนี้ให้โจทก์ จำนวน ๒๗๗,๒๑๑.๙๗ บาท แล้วไม่มีการชำระหนี้อีก จำเลยกับพวกไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ รวมเงินต้นและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง เป็นเงิน ๕,๐๓๓,๖๔๒.๓๖ บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องได้ระงับไปแล้ว จำเลยมีทรัพย์สินมากพอชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า บริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คโดยมีนายวิวัฒน์ อรรถประสิทธิ์ นางสาวสุพรรณี ลีลาวัณย์ นายสมศักดิ์ แซ่ฉั่ว นายวีรชาติ อรุณสมสิริ และจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน แล้วไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงยื่นฟ้องบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด และบุคคลดังกล่าวให้ร่วมกันชำระหนี้ แต่ได้ถอนฟ้องนางสาวสุพรรณี กับนายวีระชาติ ต่อมาวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ ศาลแพ่งมีคำพิพากษาตามยอมเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๘๑๗/๒๕๓๒ โดยบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด นายวิวัฒน์ นายสมศักดิ์ และจำเลยยอมรับผิดร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒,๖๖๕,๕๗๙.๓๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยจะชำระแก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา ๖ เดือน ตามสำเนาคำพิพากษาและสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ. ๒ และ จ. ๓ จากนั้น เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ บริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ได้ชำระหนี้บางส่วนเป็นเงิน ๒๗๗,๒๑๑.๙๗ บาท แล้วไม่มีการชำระหนี้อีก โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยกับพวกที่มีชื่อดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ จำเลยกับพวกเป็นหนี้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕,๐๓๓,๖๔๒.๓๖ บาท นอกจากคดีดังกล่าวโจทก์ยังได้ฟ้องบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด กับพวกให้ร่วมกันชำระหนี้อีก ๔ คดี โดยมีนางสาวสุพรรณีเป็นจำเลยร่วมรับผิดด้วย ๒ คดี นางสาวสุพรรณีได้นำเงินไถ่ถอนจำนองที่ดินต่อโจทก์เป็นเงิน ๖,๖๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้นำหักชำระหนี้ส่วนตัวของนางสาวสุพรรณี จำนวน ๕,๘๐๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือหักชำระหนี้ที่เป็นประกันบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๑๖๐/๒๕๓๒ ตามบัญชีการจัดสรรหนี้เอกสารหมาย จ. ๒๓ โจทก์จึงปลดหนี้ให้แก่นางสาวสุพรรณี ทั้งภาระหนี้ส่วนตัวและภาระค้ำประกันหนี้บริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ตามหนังสือแจ้งการชำระหนี้และปลดภาระการค้ำประกันของโจทก์เอกสารหมาย ล. ๓ คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่โจทก์ปลดหนี้ให้แก่นางสาวสุพรรณีผู้ค้ำประกันซึ่งต้องร่วมชำระหนี้กับจำเลยและผู้ค้ำประกันอื่น ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยหรือไม่ เห็นว่า แม้นางสาวสุพรรณี จำเลย และผู้ค้ำประกันคนอื่น ๆ จะร่วมกันค้ำประกันหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คของบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ด้วยกัน และโจทก์จะได้รับชำระหนี้จากนางสาวสุพรรณีบางส่วน กระทั่งโจทก์ปลดหนี้ให้โดยได้ถอนฟ้องนางสาวสุพรรณีในคดีแพ่งดังกล่าวด้วย แต่ในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๘๑๗/๒๕๓๒ นี้ ภายหลังศาลได้พิพากษาตามยอมให้นายวิวัฒน์ นายสมศักดิ์ และจำเลยร่วมกับบริษัทถุงกระดาษไทย จำกัด ชำระหนี้ให้โจทก์ โดยนางสาวสุพรรณีมิได้ร่วมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วย และโจทก์ได้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายเป็นคดีนี้ นางสาวสุพรรณีจึงมิได้เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยในหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง แม้โจทก์จะปลดหนี้ให้แก่นางสาวสุพรรณีก็ไม่ใช่กรณีที่โจทก์ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมกับจำเลย ที่จำเลยจะอ้างประโยชน์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๔๐ และมาตรา ๒๙๓ ดังที่จำเลยอุทธรณ์ได้ จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดในหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์นำมาฟ้อง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท และจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งกรณีไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share