แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมแถลงว่าหากจำเลยชดใช้เงินคืนให้ 3,000,000 บาท โจทก์ร่วมไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีก จึงถือว่าโจทก์ร่วมแสดงเจตนาสละสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงิน 9,000,000 บาท แล้ว โดยยังติดใจให้คืนเงินเพียง 3,000,000 บาท เท่านั้น ซึ่งโจทก์ร่วมชอบที่จะกระทำได้ และย่อมมีผลผูกพันโจทก์ร่วม ต่อมาจำเลยชำระเงินคืนให้โจทก์ร่วม 1,040,000 บาท และคงเหลือเงินต้องชำระคืนอีก 1,960,000 บาท โจทก์ร่วมแถลงต่อศาลอีกครั้งในวันที่ 3 กันยายน 2558 ว่ายินยอมลดยอดเงินที่ยังไม่ชำระคืนเหลือ 1,600,000 บาท เท่านั้น ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ร่วมจำนวน 7,960,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวนที่ยังไม่ได้คืนอีก 1,600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 352 ให้จำเลยคืนเงิน 9,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา พันตรี ส. ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี 30 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี 21 เดือน กับให้จำเลยคืนเงิน 7,960,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 30 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 1,600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 เพื่อให้ได้ความว่าโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายแล้วจริงหรือไม่ และหากโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายแล้ว ถึงแก่ความตายเมื่อใด เสร็จแล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนศาลฎีกา เพื่อมีคำสั่งหรือมีคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต่อไป ในชั้นนี้เห็นสมควรที่จะจำหน่ายคดีส่วนแพ่งออกจากสารบบความของศาลฎีกาก่อน และพิพากษายืนในคดีส่วนอาญา
ศาลชั้นต้นดำเนินการแล้ว ได้ความว่าโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 มีนายไชยมงคล บุตรซึ่งโจทก์ร่วมให้การรับรองเป็นทายาท และเป็นคู่ความแทนที่ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 999/2559 หมายเลขแดงที่ 4/2561 ของศาลชั้นต้น จึงอนุญาตให้นายไชยมงคลเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ร่วม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้เงินคืนโจทก์ร่วม 7,960,000 บาท ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมแถลงว่าหากจำเลยชดใช้เงินคืนให้ 3,000,000 บาท โจทก์ร่วมไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีก จึงถือว่าโจทก์ร่วมแสดงเจตนาสละสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงิน 9,000,000 บาท แล้ว โดยยังติดใจให้คืนเงินเพียง 3,000,000 บาท เท่านั้น ซึ่งโจทก์ร่วมชอบที่จะกระทำได้ และย่อมมีผลผูกพันโจทก์ร่วม ต่อมาจำเลยชำระเงินคืนให้โจทก์ร่วม 1,040,000 บาท และคงเหลือเงินต้องชำระคืนอีก 1,960,000 บาท โจทก์ร่วมแถลงต่อศาลอีกครั้งในวันที่ 3 กันยายน 2558 ว่ายินยอมลดยอดเงินที่ยังไม่ได้ใช้คืนจาก 1,960,000 บาท ให้เหลือเพียง 1,600,000 บาท เท่านั้น ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ร่วม 7,960,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวนที่ยังไม่ได้คืนอีก 1,600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยคืนเงิน 1,600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม