แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะมีปัญหาพิพาทกับโจทก์ร่วมในเรื่องที่โจทก์ร่วมปิดอาคารไม่ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าไปตกแต่งอาคารและไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์อาคารให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในคดีอื่นที่ศาลออกหมายจับโจทก์ร่วมไว้ก่อนแล้ว การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นน้องของ ฉ. เจ้าหนี้ของโจทก์ร่วมนำประกาศจับซึ่งมีข้อความว่า ประกาศจับโจทก์ร่วม กับสำเนาหมายจับของศาลแขวงลพบุรีไปปิดประกาศคู่กันให้ประชาชนทั่วไปพบเห็นตามสถานที่ต่าง ๆ ถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของโจทก์ร่วม เป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ตาม ป.อ. มาตรา 328
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายตามมาตรา 326, 328, 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายธงชัย ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 3 เดือนและปรับคนละ 9,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์ในการพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ร่วมกันหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมโดยการโฆษณาด้วยเอกสารดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมมาเบิกความเป็นพยานว่า เดิมโจทก์ร่วมเป็นหนี้นางซ่อนกลิ่น มารดาจำเลยที่ 1 และที่ 3 โจทก์ร่วมตกลงจะยกอาคารพาณิชย์ 3 คูหา ให้แก่นางซ่อนกลิ่นเพื่อตีใช้หนี้ ต่อมานางซ่อนกลิ่นและจำเลยที่ 3 แจ้งว่าต้องการใช้อาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นสำนักงานของบริษัทอเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด (บริษัทเอ.ไอ.เอ. จำกัด) โจทก์ร่วมจึงยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าตกแต่งภายในอาคารพาณิชย์ดังกล่าวได้ ต่อมาประมาณกลางเดือนมีนาคม 2540 โจทก์ร่วมได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายความของฝ่ายจำเลยว่าให้โจทก์ร่วมรับเงินส่วนที่เหลือและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อาคารพาณิชย์ทั้งสามคูหาให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โจทก์ร่วมเห็นว่า ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่มีการตกลงกันไว้ว่าเป็นการโอนตีใช้หนี้ ไม่ต้องรับเงินบางส่วน โจทก์ร่วมจึงโทรศัพท์ไปพูดคุยกับนางซ่อนกลิ่น นางซ่อนกลิ่นให้โจทก์ร่วมเจรจากับบุตรนางซ่อนกลิ่น โจทก์ร่วมจึงเจรจากับจำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ไปเจรจากับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยืนยันให้โจทก์ร่วมดำเนินการตามหนังสือบอกกล่าวของทนายความ ซึ่งหากดำเนินการดังกล่าวโจทก์ร่วมก็ยังคงค้างชำระหนี้นางซ่อนกลิ่นต่อไป โจทก์ร่วมจึงให้นายสายทอง ลูกจ้างของโจทก์ร่วมใช้กุญแจล็อกประตูอาคารพาณิชย์ทั้งสามคูหาเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2540 ไม่ยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าตกแต่งภายในอาคาร จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกจึงได้นำประกาศจับและสำเนาหมายจับไปปิดประกาศเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความอับอายถูกดูหมิ่นดูแคลนและเสียเครดิตในด้านการค้าขาย นางเครือคำ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมเบิกความว่า เมื่อนายสายทองนำกุญแจไปล็อกประตูอาคารพาณิชย์ทั้งสามคูหา วันรุ่งขึ้นมีการตัดกุญแจ โจทก์ร่วมก็สั่งให้พนักงานของโจทก์ร่วมไปล็อกกุญแจอีกเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ในวันที่ 22 มีนาคม 2540 เวลา 17 นาฬิกา จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปที่สำนักงานของโจทก์ร่วมพูดขู่ว่าหากไม่เปิดประตูอาคารพาณิชย์ที่ล็อกกุญแจไว้ก็จะทำให้อับอายและทำให้โจทก์ร่วมไม่สามารถขายบ้านจัดสรรได้ จำเลยที่ 1 เบิกความ ยอมรับว่า เป็นคนทำประกาศจับและได้ปิดประกาศจับและสำเนาหมายจับจริง เนื่องจากโจทก์ร่วมหลบหนีไม่ยอมมาพบจำเลยที่ 1 ในการที่โจทก์ร่วมเป็นหนี้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาประจานทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง จำเลยที่ 3 เบิกความว่า โจทก์ร่วมไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์อาคารพาณิชย์ให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งปิดอาคารไม่ยอมให้จำเลยที่ 3 เข้าตกแต่งอาคาร จำเลยที่ 3 พยายามติดต่อโจทก์ร่วม แต่ไม่สามารถติดต่อได้จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จำเลยที่ 1 บอกว่าจะจัดการเอง ที่จำเลยที่ 3 และที่ 1 ปิดประกาศนั้นไม่ได้มีเจตนาประจานหรือทำให้โจทก์ร่วมเสียหายแต่ประสงค์จะพบโจทก์ร่วมเท่านั้น เห็นว่า ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เจือสมทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะปิดประกาศจับและสำเนาหมายจับนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีปัญหาพิพาทกับโจทก์ร่วมในการที่โจทก์ร่วมปิดอาคารพาณิชย์ไม่ยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าตกแต่งภายในและไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์อาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกปิดประกาศจับและสำเนาหมายจับ จึงฟังได้ว่ามีสาเหตุมาจากการที่โจทก์ร่วมไม่ยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าตกแต่งภายในอาคารดังที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 แม้จะเป็นน้องพันโทฉัตรพล แต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในคดีที่ศาลออกหมายจับโจทก์ร่วมไว้ตั้งแต่ปี 2537 ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1854/2537 ของศาลแขวงลพบุรี การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 นำสำเนาหมายจับในคดีดังกล่าว มาปิดประกาศคู่กับประกาศจับที่จำเลยที่ 1 ได้ทำขึ้นนั้น ฟังได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ร่วม เป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่ว่าปิดประกาศจับและสำเนาหมายจับเพราะต้องการพบตัวโจทก์ร่วมนั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้น ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าพันโทฉัตรพลไปรับราชการอยู่ที่จังหวัดอื่น นอกจากเป็นพี่น้องกันแล้วจำเลยที่ 1 กับพันโทฉัตรพลยังมีส่วนได้เสียร่วมกันในหนี้สินของครอบครัวคือหนี้ตามสัญญาจำนอง การที่จำเลยที่ 1 มีสำเนาหมายจับอยู่ในครอบครองย่อมฟังได้ว่า พันโทฉัตรพลมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 จับกุมตัวโจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เป็นข้อกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน หากมีการมอบอำนาจจริงย่อมไม่เป็นการยากที่พันโทฉัตรพลจะทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 1 หรืออย่างน้อยมาเบิกความยืนยันข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ 1 แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าพันโทฉัตรพลได้ทำหนังสือมอบอำนาจหรือมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด ข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นพี่น้องกัน และจำเลยที่ 2 เป็นสามีจำเลยที่ 3 การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่สามารถเข้าไปตกแต่งภายในอาคารพาณิชย์เนื่องจากโจทก์ร่วมปิดอาคารนั้น เป็นปัญหาพิพาทโดยตรงระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับโจทก์ร่วม การที่จำเลยที่ 2 นำความไปปรึกษากับจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 2 อยู่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการปิดประกาศจับและสำเนาหมายจับนั้น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องย่อมฟังไม่ขึ้น ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เจือสมทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วม ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามให้หนักขึ้น และไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยทั้งสามนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยทั้งสามเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์ร่วม ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน