แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้นำที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทพร้อมบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขาย โดยโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ซื้อเองหรือนำบุคคลอื่นมาซื้อก็ได้ ฝ่ายใดให้ราคาสูงสุดให้ขายให้แก่ฝ่ายที่ให้ราคาสูงสุดไป และให้ขายให้เสร็จสิ้นภายในปี 2536 หากขายไม่ได้ภายในปี 2536 ให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 นำที่ดินและบ้านดังกล่าวมาประมูลกันเองก่อน หากประมูลกันเองไม่ได้ ขอให้ศาลนำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด การที่โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาผู้ซื้อบ้านและที่ดินได้ จึงตกลงกันใหม่ว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้โจทก์จำนวน 3,500,000 บาท โดยโจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพียงวิธีการชำระหนี้ต่อกันเท่านั้น และการตกลงกันครั้งหลังนี้ไม่มีข้อความตอนใดให้ยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดข้อตกลง ไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดที่ตกลงกันไว้ได้โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่นี้อีก และโจทก์จำเลยยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาตามยอมต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันใหม่ว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมชำระเงินให้โจทก์จำนวน 3,500,000บาท และโจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่ 2 ไม่ติดใจเรียกร้องอีกต่อไป โดยโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 2 หักค่าไฟฟ้า น้ำประปา และค่าดูแลรักษาจำนวน18,000 บาท ออกก่อน ส่วนเงินที่เหลือตกลงให้จำเลยที่ 2 ชำระภายใน 4 เดือน ด้วยการชำระเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้าจำนวน 3 ฉบับ ปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้สละสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ตามข้อตกลงใหม่ ขอให้ถอนการยึดบ้านและที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 51125ตำบลนาป่า อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีความโดยสรุปว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้นำที่ดินโฉนดที่ 51125พร้อมบ้านเลขที่ 100 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขาย โดยโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ซื้อเองหรือนำบุคคลอื่นมาซื้อก็ได้ ฝ่ายใดให้ราคาสูงสุดให้ขายให้แก่ฝ่ายที่ให้ราคาสูงสุดไป และให้ขายให้เสร็จสิ้นภายในปี 2536 หากขายไม่ได้ภายในปี 2536 ให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 นำที่ดินและบ้านดังกล่าวมาประมูลกันเองก่อน หากประมูลกันเองไม่ได้ ขอให้ศาลนำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงว่าไม่สามารถหาผู้ซื้อบ้านและที่ดินได้ จึงตกลงกันใหม่ว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้โจทก์จำนวน 3,500,000 บาท โดยโจทก์ยอมสละสิทธิในที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2นั้น เห็นว่า เป็นเพียงวิธีการชำระหนี้ต่อกันเท่านั้น แต่การตกลงกันครั้งหลังนี้ไม่มีข้อความตอนใดให้ยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดข้อตกลง กล่าวคือ ไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดวันที่ตกลงกันไว้ได้ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่นี้อีกต่อไปแต่ยังคงต้องผูกพันตามคำพิพากษาตามยอม
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น