คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6806/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเพียงให้การรับสารภาพตลอดข้อหา โดยมิได้รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบหรือแสดงหลักฐานในเรื่องดังกล่าว จึงไม่อาจนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้มาบวกกับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 มาตรา 3, 4, 17, 24 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 58 ริบของกลาง และนำโทษจำคุกของจำเลยที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 693/2537 และหมายเลขแดงที่ 103/2538 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 มาตรา 3, 4, 17, 24 จำคุก 2 เดือนปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษ และบวกโทษจำคุกที่ศาลรอการลงโทษไว้ในสองคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ โดยอัยการพิเศษประจำเขต 3 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด รับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและไม่ลงโทษปรับจำเลยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่าจะต้องบวกโทษของจำเลยในคดีนี้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีก่อนที่ศาลรอการลงโทษไว้ตามฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา โดยจำเลยมิได้ให้การรับว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 693/2537และหมายเลขแดงที่ 103/2538 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ขอให้บวกโทษทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบหรือแสดงหลักฐานในเรื่องดังกล่าวให้รับฟังเป็นความจริงได้ จึงไม่อาจนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้มาบวกกับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share