แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินที่จำเลยที่ 2 นำมาจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 นั้น จะต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิบังคับจำนองได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ อันเป็นการพิจารณาถึงสิทธิที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำนอง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม แต่เมื่อที่ดินที่จำนองอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ เป็นเงิน 6,000,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี และสัญญาว่าจะชำระหนี้ให้หมดสิ้นภายในวันที่ 14มิถุนายน 2527 เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ได้จำนองที่ดินโฉนดที่ 1601 ตำบลจักรวรรดิ์ กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ถึงวันที่ 23 มิถุนายน2529 เป็นต้นเงินและดอกเบี้ย 9,952,304.86 บาท โจทก์ทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 และบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2เพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ศาลชั้นต้น (ศาลแพ่ง) มีคำสั่งว่า รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นจึงไม่รับฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 2 นำมาจำนองเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกัน การที่จะพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิบังคับจำนองได้หรือไม่ ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหรืออีกนัยหนึ่งคือสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่ กับจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ อันเป็นการพิจารณาถึงสิทธิที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำนอง คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวแก่จำเลยทั้งสอง จึงเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เมื่อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำนอง อยู่ที่ตำบลจักรวรรดิ์ อำเภอสัมพันธวงศ์(สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน