คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติการประมงฯ มาตรา 71 บัญญัติ ให้ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ต้องจ่ายเงินบำเหน็จ แก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด การที่ศาลจะสั่งให้ จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จจำต้องพิจารณาจากระเบียบที่ รัฐมนตรีกำหนดขึ้นและระเบียบดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ต้องบรรยายมาให้ศาลทราบหรือแนบระเบียบดังกล่าวมาด้วย เพื่อที่ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จโดยถูกต้อง เมื่อโจทก์มิได้แนบระเบียบดังกล่าวมา ศาลจึงไม่อาจพิพากษา ให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จได้ ทั้งนี้เนื่องจากการที่ศาลจะ พิพากษาให้จำเลยจ่ายบำเหน็จเป็นเรื่องสำคัญมีผลเท่ากับลงโทษ ทางอาญาแก่จำเลยและระเบียบดังกล่าวคือข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีตามมาตรา 19แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 การที่ศาลอุทธรณ์ยกเรื่องการจ่ายเงินบำเหน็จตาม พระราชบัญญัติการประมงฯ มาตรา 71 ขึ้นมาพิพากษามิใช่ เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง หากแต่ เป็นการยกเรื่องข้อบกพร่องของคำฟ้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยมาพิพากษาให้เป็นประโยชน์แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 32, 60, 65, 69, 70, 71 ริบของกลางและจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 32, 60, 65, 69, 70, 71 ลงโทษจำคุก4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน ของกลางริบและให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ปรับบทตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 71 ให้ปรับจำเลย6,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ไม่จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ต้องแนบระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดขึ้นหรือไม่ พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 71บัญญัติว่า “ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด แต่ต้องไม่เกินสองพันบาท ในกรณีที่ศาลลงโทษผู้กระทำความผิด ให้ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินดังกล่าวแล้ว ถ้าไม่ชำระให้จัดการตามมาตรา 18 แห่งกฎหมายลักษณะอาญา โดยถือเหมือนว่าเป็นค่าปรับ” ตามบทบัญญัตินี้การที่ศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จจำต้องพิจารณาจากระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดขึ้นและระเบียบดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง รัฐมนตรีได้ออกระเบียบไว้หรือไม่มีเงื่อนไขการจ่ายเงินบำเหน็จไว้อย่างไร เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ต้องบรรยายฟ้องมาให้ศาลทราบหรือแนบระเบียบดังกล่าวมาด้วยเพื่อที่ศาลจะได้พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จโดยถูกต้องเช่นเดียวกับที่โจทก์ได้แนบประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฉบับที่ 1 เรื่องกำหนดเขตห้ามใช้อวนลากและอวนชุน ทำการประมงในบริเวณอ่าวพังงามาแล้วท้ายฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้แนบระเบียบดังกล่าวมาให้ศาลทราบ ศาลจึงไม่อาจที่จะพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จได้ ทั้งนี้เนื่องจากการที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยจ่ายบำเหน็จเป็นเรื่องสำคัญมีผลเท่ากับลงโทษทางอาญาแก่จำเลยเพราะหากจำเลยไม่จ่ายเงินบำเหน็จแล้ว บทบัญญัติมาตรานี้ให้บังคับชำระเช่นเดียวกับการบังคับชำระค่าปรับในคดีอาญาโจทก์จึงต้องบรรยายฟ้องหรือแนบระเบียบดังกล่าวมาให้ศาลทราบระเบียบดังกล่าวคือข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกเรื่องการจ่ายเงินบำเหน็จขึ้นมาพิพากษามิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องหากแต่ยกเรื่องข้อบกพร่องของคำฟ้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยมาพิพากษาให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share