คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3669/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาของศาลฎีกาที่บังคับให้จำเลยโอนรถยนต์โดยสารพิพาท ให้เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ โดยให้ไปจดทะเบียนโอนนั้น จำเลยย่อม มีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ เป็นเจ้าของ และกระทำการอันจำเป็นเพื่อให้มีการจดทะเบียนได้ตาม คำพิพากษา การที่จำเลยเพียงแต่นำเอาเอกสารหลักฐานการโอนทะเบียนไปมอบไว้ต่อศาลชั้นต้น เพื่อให้โจทก์รับไปจัดการจดทะเบียนเอง ครั้นโจทก์นำไปจัดการปรากฏว่ามีเหตุขัดข้อง เพราะต้องไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน และผู้ที่จะไปจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือบุคคลอื่นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน ทั้งต้องนำรถไปตรวจสภาพด้วย จำเลยจึงยังหาได้ดำเนินการจดทะเบียนโอน รถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ตามคำพิพากษาไม่ แม้ขณะศาล พิพากษารถยนต์โดยสารได้ตกมาอยู่ในความควบคุมของนายทะเบียนขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 4 จำเลยจึงได้ดำเนินการทำหลักฐานการโอนทะเบียนให้ต่อนายทะเบียนขนส่งเพื่อให้ คำพิพากษาของศาลมีผลบังคับได้แต่เมื่อตามหลักฐานที่จำเลยทำให้ ไปยังไม่อาจจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ เป็นเจ้าของได้ เพราะต้องให้บุคคลอื่นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน ไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน จำเลยจึงจะอ้างว่าได้ปฏิบัติชอบด้วยคำพิพากษาแล้วมิได้
หากรถยนต์โดยสารพิพาททรุดโทรมจนไม่อยู่ในสภาพที่จะจดทะเบียนโอนกันได้ ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีจำเลยไม่สามารถจดทะเบียน โอนรถยนต์โดยสารพิพาทได้ ซึ่งตามคำพิพากษากำหนดว่าจำเลยจะ ต้องชำระเงินค่ารถพิพาท 2 คัน จำนวน 300,000บาท ให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยนั่นเอง จำเลยจะอ้างเอาการที่รถทรุดโทรมเพราะ การใช้ตามปกติของโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ชำระเงินตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วมิได้
แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์โดยสารพิพาทได้โอนไปยังโจทก์แล้วตั้งแต่ที่จำเลยส่งมอบแก่โจทก์มิใช่ด้วยการโอนทะเบียนนั้น จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา คือโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารพิพาทให้โจทก์

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยโอนรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ป.จ. 00857 และ ป.จ.00859 ให้โจทก์โดยให้ไปจดทะเบียนโอน ณ กองทะเบียนยานพาหนะจังหวัดปราจีนบุรี หากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยคืนเงินเฉพาะค่ารถที่เหลือ 2 คัน จำนวน 300,000 บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทราบคำบังคับแล้วได้นำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในการโอนมาส่งศาลเพื่อให้โจทก์นำไปจัดการโอนตามคำพิพากษาต่อไป โจทก์รับเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปจัดการโอนแล้ว แต่โอนไม่ได้เพราะมีเหตุขัดข้องหลายประการ โจทก์จึงนำเอกสารทั้งหมดมามอบคืนแก่ศาล และขอให้ศาลบังคับจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนพร้อมส่งมอบรถแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์และโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ภายใน 60 วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง มิฉะนั้นจะถือว่าจำเลยไม่สามารถโอนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ได้ และต้องคืนเงินค่ารถยนต์ที่เหลือพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์ตามคำพิพากษา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่ารถยนต์โดยสารพิพาททั้งสองคัน บริษัทนายกปราจีน จำกัด เช่าซื้อมาจากบริษัทวิริยะพาณิช จำกัด แล้วจำเลยได้นำมาทำสัญญาขายให้แก่โจทก์และมอบรถทั้งสองคันให้โจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อ บริษัทวิริยะพานิช จำกัด จึงยึดรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ป.จ. 00859 ไปจากโจทก์ ส่วนคันหมายเลขทะเบียน ป.จ. 00857 ติดตามไม่พบจึงไม่ได้ยึดไป ต่อมาบริษัทนายกปราจีน จำกัด ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนทั้งสองคัน บริษัทวิริยะพานิชจำกัด จึงคืนรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ป.จ. 00859 มาให้จำเลยและทำหนังสือมอบอำนาจให้บริษัทนายกปราจีน จำกัด โอนทะเบียนรถยนต์ทั้งสองคันเป็นชื่อบริษัทนายกปราจีน จำกัดได้ เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารพิพาททั้งสองคันให้โจทก์ จำเลยจึงดำเนินการขอโอนรถยนต์โดยสารทั้งสองคันจากบริษัทนายกปราจีน จำกัด เพื่อโอนทะเบียนให้โจทก์ บริษัทนายกปราจีน จำกัด ทำหนังสือมอบมาให้แล้ว จำเลยจึงส่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในการโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารทั้งสองคันต่อศาลชั้นต้นเพื่อมอบให้โจทก์รับไปทำการโอนทะเบียนตามคำพิพากษาโจทก์ได้รับเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารทั้งสองคันดังกล่าวไปยื่นขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานขนส่งจังหวัดปราจีนบุรีแล้ว แต่มีเหตุขัดข้องเพราะต้องไปดำเนินการทางทะเบียนต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน และผู้ที่จะไปจัดการต้องเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถอยู่ในทะเบียน ทั้งต้องนำรถไปตรวจสภาพด้วย

ตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยโอนรถยนต์โดยสารพิพาททั้งสองคันให้เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ โดยจดทะเบียนโอน ณ กองทะเบียนยานพาหนะจังหวัดปราจีนบุรี ดังนี้ จำเลยย่อมมีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ และกระทำการอันจำเป็นเพื่อให้มีการจดทะเบียนได้ตามคำพิพากษา การที่จำเลยเพียงแต่นำเอาเอกสารหลักฐานการโอนทะเบียนไปมอบไว้ต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้โจทก์รับไปจัดการจดทะเบียนเอง ครั้นโจทก์นำไปจัดการปรากฏว่ามีเหตุขัดข้องเพราะต้องไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน และผู้ที่จะไปจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือบริษัทวิริยะพานิช จำกัด ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน ทั้งต้องนำรถไปตรวจสภาพด้วย จำเลยจึงยังหาได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ตามคำพิพากษาไม่แม้ขณะศาลพิพากษารถยนต์โดยสารได้ตกมาอยู่ในความควบคุมของนายทะเบียนขนส่งจังหวัดปราจีนบุรีตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 4 จำเลยจึงได้ดำเนินการทำหลักฐานการโอนทะเบียนให้ต่อนายทะเบียนขนส่ง จังหวัดปราจีนบุรีเพื่อให้คำพิพากษาของศาลมีผลบังคับได้ แต่เมื่อตามหลักฐานที่จำเลยทำให้ไปยังไม่อาจจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของได้ เพราะต้องให้บริษัทวิริยะพานิช จำกัด ไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อนจำเลยจึงจะอ้างว่าได้ปฏิบัติชอบด้วยคำพิพากษาแล้วมิได้ ที่จำเลยฎีกาอ้างว่ารถยนต์โดยสารพิพาทอยู่ที่โจทก์ ต้องเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำรถไปให้เจ้าพนักงานตรวจสภาพนั้น ปรากฏว่าเมื่อบริษัทวิริยะพานิช จำกัด คืนรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ป.จ. 00859 มาให้จำเลย จำเลยยังไม่ได้มอบให้โจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่นำรถยนต์โดยสารคันนี้ไปให้เจ้าพนักงานตรวจสภาพเอง ส่วนรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ป.จ. 00857 ปรากฏว่ายังคงอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ซึ่งโจทก์ต้องเป็นผู้นำไปให้เจ้าพนักงานตรวจสภาพก็ตาม แต่เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนัดหมายให้โจทก์นำรถคันนี้ไปตรวจสภาพเพื่อจำเลยจะไปดำเนินการจดทะเบียนด้วย ที่จำเลยอ้างว่าไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการตรวจสภาพรถพิพาทจึงฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยอ้างอีกว่าโจทก์ใช้รถพิพาททั้งสองคันจนทรุดโทรมหมดสภาพที่จะโอนให้โจทก์ได้แล้ว ถือว่าจำเลยอยู่ในสภาพพ้นวิสัยที่จะโอนรถให้โจทก์ได้ เพราะความผิดเกิดจากการใช้รถของโจทก์เอง จำเลยจึงไม่ต้องใช้เงินค่ารถพิพาทให้โจทก์ หรือหากต้องชดใช้ก็ต้องลดราคาลงตามสภาพที่เป็นอยู่ ส่วนจะลดเท่าใดควรต้องไต่สวนก่อนนั้น เห็นว่า หากรถยนต์โดยสารพิพาททรุดโทรมจนไม่อยู่ในสภาพที่จะจดทะเบียนโอนกันได้ ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทได้ ซึ่งตามคำพิพากษากำหนดว่าจำเลยจะต้องชำระเงินค่ารถพิพาท 2 คัน จำนวน 300,000 บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนั่นเองจำเลยจะอ้างเอาการที่รถทรุดโทรมเพราะการใช้ตามปกติของโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ชำระเงินตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วมิได้ และคดีไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนดังจำเลยฎีกา อนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์โดยสารพิพาทโอนไปยังโจทก์แล้วตั้งแต่จำเลยส่งมอบแก่โจทก์ มิใช่ด้วยการโอนทะเบียนนั้น แม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้จำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาคือโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารพิพาทให้โจทก์ ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share