แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกมีเพียงที่ดินสองแปลงที่พิพาทกันในคดีนี้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 แล้ว ถือได้ว่าการจัดการมรดกได้สิ้นสุดลงแล้วนับแต่วันที่จดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าจัดการมรดกไม่ถูกต้องเกินกว่า 5 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 จัดการมรดกเสร็จสิ้น คดีย่อมขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นทายาทโดยธรรมซึ่งมีสิทธิจะรับมรดก เมื่อผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ย่อมมีความชอบธรรมที่จะรับไว้ด้วยสิทธิความเป็นทายาทและย่อมจะครอบครองทรัพย์มรดกได้ด้วยอำนาจของตน กรณีไม่เข้าข่ายการปิดบังยักย้ายทรัพย์มรดก และไม่ถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกแทนโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เพื่อรับเอาทรัพย์มรดก จึงเป็นคดีมรดกมีอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 โจทก์ฟ้องเกินกว่า 1 ปีแล้ว จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่า โจทก์เป็นบุตรของนายสมบุญกับนางอนงค์ ที่อยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ซึ่งนายสมบุญยอมรับว่าโจทก์เป็นบุตรและให้การศึกษาอุปการะเลี้ยงดูกับยอมให้โจทก์ใช้ชื่อสกุล นายสมบุญและจำเลยทั้งสามเป็นบุตรในจำนวน 8 คน ของนายแหยมกับนางปาน สำหรับนายแหยมถึงแก่กรรมนานแล้ว นายสมบุญถึงแก่กรรมเมื่อปี 2517 นางปานถึงแก่กรรมเมื่อปี 2518 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2537 โจทก์ไปที่สำนักงานที่ดิน ตรวจหลักฐานทรัพย์มรดกของนางปานทราบว่ามรดกของนางปานมีที่ดิน 2 โฉนด ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางปาน ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำขอลงชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางปานในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว และโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ทั้งที่จำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าโจทก์เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของนางปาน เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ผู้จัดการมรดกโดยไม่ได้แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ผู้รับมรดกแทนที่นายสมบุญ และจำเลยทั้งสามยักย้ายปิดบังทรัพย์มรดกโดยกลฉ้อฉล และรู้อยู่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวทำให้โจทก์เสื่อมประโยชน์ จำเลยทั้งสามจึงต้องถูกกำจัดมิให้ได้ที่ดินทั้งสองแปลง การที่จำเลยทั้งสามลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นการครอบครองแทนโจทก์ จำเลยทั้งสามต้องโอนโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามโอนโฉนดที่ดินดังกล่าว โดยให้จำเลยทั้งสามออกค่าภาษี ค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ได้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า เมื่อนางปานถึงแก่กรรม โจทก์และนางอนงค์ตกลงกับฝ่ายจำเลยว่า ที่ดินมรดกเนื้อที่ 10 ไร่ ที่นางปานว่าจะยกให้โจทก์ ขอรับเป็นเงินสดแทนและจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกอื่น ซึ่งโจทก์รับเงินสดจำนวน 32,500 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2519 โจทก์จึงรับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกทั้งหมดแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกแบ่งปันที่ดินตามฟ้องโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามความประสงค์ของนางปาน จำเลยทั้งสามมิได้ยักย้าย ปิดบังทรัพย์มรดกโดยกลฉ้อฉล จึงไม่ถูกกำจัดมิให้ได้ทรัพย์มรดก จำเลยที่ 1 มิได้ครอบครองที่ดินตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ครอบครองที่ดินดังกล่าวเพื่อตนเองมิใช่ครอบครองแทนทายาท จำเลยที่ 1 จัดการมรดกสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2519 นับแต่นั้นจนวันที่โจทก์ฟ้องเกินกว่า 5 ปี คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง ส่วนคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่นางปานถึงแก่กรรม หรือควรรู้ถึงการถึงแก่กรรมของนางปาน ทั้งนี้ ภายใน 10 ปี นับแต่นางปานถึงแก่กรรม เมื่อนับถึงวันฟ้องเกินกว่า 18 ปี คดีขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 นอกจากนี้ราคาที่ดินตามฟ้องมิใช่ราคาที่แท้จริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางปานได้ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการมรดก โดยไม่แบ่งมรดกของนางปานให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาท ดังนี้ เป็นการฟ้องคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก ทรัพย์มรดกของนางปานมีเพียงที่ดินสองแปลงที่พิพาทกันนี้ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2519 แล้ว ถือว่าการจัดการมรดกสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าจัดการมรดกไม่ถูกต้องเกินกว่า 5 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 จัดการมรดกเสร็จสิ้น คดีย่อมขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรนางปานเจ้ามรดกจึงเป็นทายาทโดยธรรมซึ่งมีสิทธิจะรับมรดก เมื่อผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมมีความชอบธรรมที่จะรับไว้ด้วยสิทธิความเป็นทายาทและย่อมจะครอบครองทรัพย์มรดกได้ด้วยอำนาจของตน กรณีไม่เข้าข่ายการปิดบังยักย้ายทรัพย์มรดก และไม่ถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกแทนโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อรับเอาทรัพย์มรดก จึงเป็นคดีมรดกมีอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 โจทก์ฟ้องเกินกว่า 1 ปีแล้ว จึงขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.