แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลย เช็คที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปี ในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจนจำเลยกระทำโดยประมาท จ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินคืน เป็นคำฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืน หาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่ อายุความต้องถือตามบทบัญญัติ เรื่องฝากทรัพย์ เมื่อมิใช่เป็นการฟ้องตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายพนม งามกาละ เป็นลูกค้าธนาคารจำเลยสาขาสมุทรสาคร โดยเปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลยสาขาดังกล่าว หมายเลขบัญชี 308-30264-1 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2532 นายอุดม งามกาละ ซึ่งเป็นน้องชายของนายพนมได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับนางมะยม ดาราเย็น ในการทำสัญญาดังกล่าวนายอุดมได้มอบเช็คธนาคารจำเลยสาขาสมุทรสาคร หมายเลขที่ 0802644 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน2532 จำนวนเงิน 518,700 บาท ซึ่งนายพนมเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายให้แก่นางมะยมเป็นค่ามัดจำ แต่ในวันที่ 16 พฤศจิกายน2532 นายอุดมกับนางมะยมตกลงยกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าว นายอุดมขอเช็คที่มอบให้นางมะยมเป็นค่ามัดจำคืนนางมะยมรับว่าจะคืนเช็คให้แต่ยังไม่ได้คืน ต่อมาเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2533 นายพนมทราบว่า นางวรรณา เรืองพิทักษ์ได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของตนเองที่ธนาคารจำเลยสาขาสมุทรสาคร และธนาคารจำเลยได้จ่ายเงินตามเช็คไปแล้วนายพนมได้ตรวจสอบพบว่ามีการแก้ไขวันที่สั่งจ่ายในเช็คจากเดิมเป็นวันที่ 17 เมษายน 2533 ซึ่งมีการแก้ไขที่เห็นได้โดยประจักษ์ชัดแจ้ง นายพนมจึงฟ้องนางมะยมและนางวรรณาเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร ตามคดีหมายเลขแดงที่ 3176/2538 ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว นายพนมถึงแก่กรรมโจทก์ในฐานะทายาทจึงเข้าดำเนินคดีแทน การที่ธนาคารจำเลย สาขาสมุทรสาครจ่ายเงินเช็คดังกล่าวให้แก่นางวรรณา ทั้งที่เช็คมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อสาระสำคัญซึ่งเห็นได้โดยประจักษ์ เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 518,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารจำเลย สาขาสมุทรสาคร จ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่วันทำละเมิดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันไว้กับจำเลย เช็คพิพาทที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีดังกล่าวของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปี ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจน จำเลยกระทำโดยประมาทจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินคืน ดังนี้ เป็นฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยก็เพื่อแสดงว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะไม่กระทำตามหน้าที่ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคสามบัญญัติไว้เท่านั้น หาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่ อายุความในคดีนี้จึงต้องถือตามบทบัญญัติในเรื่องฝากทรัพย์ เมื่อมิใช่เป็นกรณีฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่)ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยโดยมูลละเมิด มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามกฎหมายดังกล่าวไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี