คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การตีความตามสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ด้วย จะถือเอาแต่เพียงชื่อของสัญญาเป็นเด็ดขาดไม่ได้ เมื่อข้อความในสัญญาประกอบกับพยานหลักฐานฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำสัญญาโอนขายมาสเตอร์เทป 1 ต้นแบบเท่านั้น มิได้มีเจตนาทำสัญญาโอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงดังกล่าวแต่อย่างใด ลิขสิทธิ์ในงานเพลงจึงยังเป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันผลิตมาสเตอร์เทปเพลงทั้ง 14 เพลงดังกล่าวเป็น 3 ชุด ซึ่งเป็นคนละเวอร์ชันกับมาสเตอร์เทปที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์ย่อมไม่ใช่การดัดแปลงงานดนตรีกรรมอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 27 , 28 , 69 วรรคสอง และ 74
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้แต่งคำร้องและทำนองเพลงรวม 14 เพลง ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมเกี่ยวกับเพลงดังกล่าวและเพลงช้างรวม 15 เพลง ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ได้ค่าตอบแทนจำนวน 360,000 บาท และเงินจากการจำหน่ายเทปเพลงข้างต้นตั้งแต่ม้วนที่ 30,000 เป็นต้นไปอีกม้วนละ 12 บาท ตามสัญญา หลังจากทำสัญญาแล้วโจทก์ผลิตเทปเพลงชุดฝากไว้ให้คิดถึงตามวัตถุพยานหมาย จ. 2 ออกจำหน่ายแก่คนทั่วไป ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2540 จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างผลิตมาสเตอร์เทปเพลงให้แก่จำเลยที่ 2 รวม 3 ชุด โดยมีเพลงซ้ำกับเพลงที่โจทก์ทำสัญญาไว้กับจำเลยที่ 1 เพลงที่ทำซ้ำขึ้นดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับร้อง บริษัทไอ. ฟินิกซ์ จำกัด เป็นผู้ทำดนตรีและให้ใช้ห้องบันทึกเสียง ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ผลิตเทปเพลงและซีดีเพลงข้างต้นออกวางจำหน่าย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สัญญาโอนลิขสิทธิ์ดนตรีกรรมลงวันที่ 30 ตุลาคม 2538 ตามเอกสารหมาย จ. 1 ข้อ 3 มีข้อความโดยสรุปว่า จำเลยที่ 1 ผู้โอนตกลงโอนลิขสิทธิ์ในงานเพลงทั้งสิบสี่เพลงตามคำฟ้องกับเพลงช้างให้แก่โจทก์ตลอดอายุของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำ ถ่าย อัดเพลงและเสียงขับร้องลงในแถบบันทึกเสียงแม่แบบ (มาสเตอร์เทป) จำนวน 1 ชุด ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น เพื่อโจทก์จะได้นำไปจัดทำ ถ่าย อัด บันทึกเสียงลงในแถบบันทึกเสียงหรือโสตทัศนวัสดุแล้วนำออกเผยแพร่หรือจัดเผยแพร่ จำหน่าย จ่ายโอน และแจกแก่สาธารณชนในทางการประกอบอาชีพ ในสัญญาดังกล่าว ข้อ 5 ระบุว่า จำเลยที่ 1 สัญญาว่าไม่เคยนำลิขสิทธิ์ในงานเพลงดังกล่าวและแม่แบบแถบบันทึกเสียง (มาสเตอร์เทป) ไปโอนและมอบให้ผู้หนึ่งผู้ใดจัดทำแถบบันทึกเสียงและขับร้องเพลงตามสัญญานี้มาก่อน ทั้งต่อไปจะไม่ยอมมอบให้ผู้ใดและหรือสนับสนุนให้ไปจัดทำเองเพื่อจำหน่าย จ่าย แจก ขาย อันเป็นการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ จำเลยทั้งสี่โต้แย้งว่า เป็นสัญญาซื้อขายมาสเตอร์เทป ไม่ใช่สัญญาโอนลิขสิทธิ์ พยานโจทก์คนหนึ่งตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า เงินจำนวน 360,000 บาท ตามสัญญาไม่ใช่ค่าตอบแทนในการโอนลิขสิทธิ์ แต่เป็นเงินให้ไปทำมาสเตอร์เทป ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานจำเลยที่ 1 ที่มีความเห็นว่าเงินจำนวนนี้น่าจะเป็นเงินค่าใช้จ่ายในการผลิตมาสเตอร์เทปเพราะเป็นเงินจำนวนค่อนข้างน้อย และการที่โจทก์ให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการจำหน่ายเทปตั้งแต่ม้วนที่ 30,000 เป็นต้นไปในอัตราม้วนละ 12 บาท แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา ข้อ 4.1 ด้วย ยิ่งทำให้เข้าใจว่าสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาโอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงดังกล่าว แต่เป็นเพียงสัญญาโอนขายมาสเตอร์เทปเท่านั้น เพราะถ้าหากเป็นการโอนขายลิขสิทธิ์เด็ดขาด โจทก์ก็ไม่จำต้องให้ผลประโยชน์ตอบแทนในส่วนนี้อีก และในกรณีที่ผู้โอนต้องจัดทำมาสเตอร์เทปด้วย ในวงการเพลงถือว่าเป็นการอนุญาตให้ใช้สิทธิ 1 ครั้ง ใน 1 ต้นแบบ หรือ 1 เวอร์ชัน… ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าสัญญาโอนลิขสิทธิ์ดนตรีกรรมมีข้อความชัดเจนแล้วว่าโจทก์เป็นผู้รับโอนลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรม โจทก์จึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานเพลงตามสัญญา จะตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้นั้น เห็นว่า การตีความตามสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 คือต้องถือหลักตามความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย จะถือเอาเจตนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ นอกจากนี้การตีความสัญญายังต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ด้วย เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับความหมายของข้อความในสัญญา ศาลจึงต้องแสวงหาเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย โดยค้นหาเอาจากข้อความในสัญญาทั้งฉบับรวมทั้งพฤติการณ์ที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกันหลังจากทำสัญานั้นด้วย จะถือเอาแต่เพียงชื่อของสัญญาเป็นเกณฑ์เด็ดขาดดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ได้ เมื่อข้อความในสัญญาโอนลิขสิทธิ์ดนตรีกรรมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 มีความหมายไม่ชัดเจนว่าเป็นสัญญาโอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงโดยเด็ดขาดหรือเป็นแต่เพียงสัญญาโอนขายมาสเตอร์เทป 1 ต้นแบบ หรือ 1 เวอร์ชัน และพฤติการณ์ที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันหลังจากทำสัญญานั้นประกอบกับพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสี่ดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว แสดงให้เห็นว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำสัญญาเป็นสัญญาโอนขายมาสเตอร์เทป 1 ต้นแบบ หรือ 1 เวอร์ชัน เท่านั้น มิได้มีเจตนาโอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงดังกล่าวกันแต่อย่างใด ลิขสิทธิ์ในงานเพลงนั้นจึงยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อลิขสิทธิ์ในดนตรีกรรมคือเพลงทั้งสิบสี่เพลงตามคำฟ้องยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 มิได้โอนไปเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันผลิตมาสเตอร์เทปเพลงทั้งสิบสี่เพลงดังกล่าวเป็น 3 ชุด ซึ่งเป็นคนละเวอร์ชันกับมาสเตอร์เทปที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่โจทก์ ย่อมมิใช่การดัดแปลงงานดนตรีกรรมอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดตามคำฟ้อง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น.
พิพากษายืน.

Share