แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยที่ 1 โดยขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย โอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถทำได้ให้ใช้ราคาพร้อมค่าเสียหายซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยตรง เมื่อปรากฏว่า ศาลแพ่งได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑  ขอซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๖๔๒ ของโจทก์ในราคา ๑,๗๑๐,๐๐๐ บาท  โดยจำเลยที่ ๑  ต้องไถ่ถอนการขายฝากจากนางสำรวย  เป็นเงิน ๖๓๖,๐๐๐ บาท  ส่วนที่เหลือต้องจ่ายเป็นเช็คล่วงหน้าชำระหนี้แทนโจทก์ ๖ ฉบับ  และเมื่อโอนที่ดินเป็นของจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ จะจำนองนำเงินเข้าบัญชีเป็นการใช้หนี้เงินตามเช็คที่ออกให้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อรับเช็คทั้ง ๖ ฉบับไว้  จำเลยที่ ๑ ใช้อุบายหลอกลวงว่าให้โจทก์ขายที่ดินนี้ให้จำเลยที่ ๒ ก่อนเพื่อทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น  แล้วจำเลยที่ ๒ ขายต่อให้จำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ จึงนำมาจำนองกับจำเลยที่ ๓  โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนี้ให้จำเลยที่ ๒เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๒  โอนต่อให้จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๓ ช่วยจ่ายเงินค่าไถ่ถอนการขายฝากให้ก่อน  และจำเลยที่ ๑  จำนองที่ดินนี้ไว้กับจำเลยที่ ๓เท่าราคาซื้อ  เป็นการรับจำนองโดยไม่สุจริต  เป็นการสนับสนุนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในการทำนิติกรรม  จำเลยทั้งสามคบคิดกันกระทำการโดยไม่สุจริต  เช็คทั้งหมดที่จำเลยที่ ๑สั่งจ่ายขึ้นเงินไม่ได้  โจทก์เสียที่ดินไปโดยไม่ได้รับเงินตอบแทนและโจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมแล้ว  ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันทำการเพิกถอนนิติกรรมที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๖๔๒  ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของอย่างเดิมหากไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา  หากไม่สามารถทำได้ให้ใช้ราคา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าได้ทำสัญญาซื้อที่ดินจากโจทก์จริง  เพราะจำเลยที่ ๑ จ้างเพื่อทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น  จำเลยที่ ๑  จ่ายเช็คชำระค่าที่ดินให้โจทก์แล้วจำเลยที่ ๓เป็นผู้จ่ายเงินไถ่ถอนการขายฝาก  จำเลยที่ ๒  ทำโอนขายที่ดินนี้ให้จำเลยที่ ๑ โดยไม่มีการชำระเงิน  จำเลยที่ ๑  เอาที่ดินจำนองกับจำเลยที่ ๓  จำเลยทั้งสามร่วมกันทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจำนองโดยไม่ได้มีการชำระเงินกัน
จำเลยที่ ๓  ให้การว่า  จำเลยที่ ๓ รับจำนองที่ดินนี้โดยสุจริต
โจทก์ยื่นคำแถลงว่า  จำเลยที่ ๑  ถูกศาลแพ่งพิพากษาให้ล้มละลาย และมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑ ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๒ ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าดำเนินคดีแทนจำเลยที่ ๑
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ ๑  ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๒  ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้  คดีนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้  ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตาม มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ จึงไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ ๑
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า  คดีที่พิพาทกันนี้  เป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ประกอบกับโจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรม  มิได้ขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจต่อสู้คดีแทนจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๒๒(๓)ไม่ใช่ตาม  มาตรา ๒๕
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า  ศาลมีคำสั่งรับฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยที่ ๑ ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑  ที่ศาลสั่งรับฟ้องไว้เป็นการสั่งไปโดยผิดหวัง  จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมสำหรับจำเลยที่ ๑  และมีคำสั่งใหม่ว่าไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑  จำหน่ายคดี  ให้ดำเนินการพิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า  โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑  ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๒  โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยที่ ๑ ภายหลัง คือเมื่อวันที่๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๓  โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ได้ เพราะตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๖, ๒๗ ห้ามเจ้าหนี้ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระได้  ห้ามเฉพาะหนี้เงิน  แต่หนี้ที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้เกี่ยวกับการกระทำงดเว้นกระทำ  ให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและให้เพิกถอนนิติกรรม  จึงไม่ต้องห้ามศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. ๒๔๘๓มาตรา ๒๒(๓) ประกอบกับมาตรา ๒๖, ๒๗ บัญญัติถึงอำนาจฟ้องของเจ้าหนี้ว่า เมื่อศาลพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ได้แต่ผู้เดียว  หากเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน  คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยที่ ๑  โดยขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย  โอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนชื่อจำเลยที่ ๑ หากไม่สามารถทำได้ให้ใช้ราคาที่ดินและค่าเสียหาย  ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยตรง  จึงต้องห้ามตามกฎหมายชัดแจ้งโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑
พิพากษายืน

