คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปรากฏว่าก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 149/2517 โดยกล่าวในฟ้องว่าจำเลยร้องเท็จขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในคดีหมายเลขแดงที่ 433/2516 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทของจำเลยในคดีนั้นเสีย และให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดพิพาทศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147, 148 คดีถึงที่สุดโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้ โดยอ้างเหตุผลอย่างเดียวกันกับในคดีก่อน และขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่พิพาทแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ดังนี้ เมื่อคดีหมายเลขแดงที่ 149/2517 นั้นถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุผลว่าเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 433/2516 แล้วโจทก์จะนำคดีซึ่งเคยถูกยกฟ้องด้วยเหตุฟ้องซ้ำมารื้อร้องฟ้องอีกหาได้ไม่เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 712 ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขแดงที่ 194/2512 ซึ่งถึงที่สุดในชั้นฎีกา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2516 จำเลยนำความเท็จไปร้องต่อศาลจังหวัดชลบุรีโดยทำเป็นคำร้องของแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวบางส่วน ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ขอให้ศาลจังหวัดชลบุรีมีคำสั่งว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ในวันไต่สวน จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความเท็จประกอบคำร้องดังกล่าว ศาลจังหวัดชลบุรีหลงเชื่อจึงมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 433/2516 ต่อมาจำเลยโอนใส่ชื่อจำเลยลงในโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย ต้องเสียที่ดินดังกล่าวไป คิดเป็นราคาประมาณ 10,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดเลขที่ 712 ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองฯ จังหวัดชลบุรี แล้วให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องจำเลยได้มาโดยคำสั่งศาลตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 433/2516 และเจ้าพนักงานที่ดินใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 433/2516 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 149/2517ซึ่งถึงที่สุดแล้ว เพราะมีประเด็นอย่างเดียวกันคือที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย และศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย

ชั้นชี้สองสถาน ทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 433/2516 และคดีหมายเลขแดงที่ 149/2517 หรือไม่

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 149/2517 ของศาลจังหวัดชลบุรี โดยกล่าวฟ้องว่าจำเลยร้องเท็จขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในคดีหมายเลขแดงที่ 433/2516 ความจริงจำเลยไม่ได้ครอบครองที่พิพาทโจทก์คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่จำเลยขอแก้ชื่อในโฉนดแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทของจำเลยในคดีนั้นเสีย และให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดพิพาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147, 148 คดีถึงที่สุดโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยใหม่โดยอ้างเหตุผลอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนว่าจำเลยนำความเท็จไปร้องต่อศาล ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในคดีหมายเลขแดงที่ 433/2516 ต่อมาจำเลยโอนใส่ชื่อจำเลยลงในโฉนดเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่พิพาทแล้ว โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ จำเลยให้การตัดฟ้องโจทก์ว่าเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 149/2517 ดังกล่าวและคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 433/2516 พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีอำนาจตรวจคำคู่ความที่คู่ความยื่นต่อศาลแล้วฟังคำแถลงที่คู่ความแถลงทั้งปวงแถลงเองหรือแถลงโดยตอบคำถามของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้เคยมีการฟ้องคดีกันมาแล้วในประเด็นเดียวกันนี้ ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 149/2517 มาผูกรวมไว้กับคดีนี้แล้ว ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2517 ซึ่งปรากฏว่าไปผูกอยู่ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.531/2517 ของศาลฎีกา (คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1815/2517ของศาลจังหวัดชลบุรี) จึงไม่จำเป็นจะต้องมีการระบุอ้างมาเป็นพยานในชั้นชี้สองสถานและเห็นว่าคดีก่อนคือคดีหมายเลขแดงที่ 149/2517 ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147, 148 เท่ากับเป็นการวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนนั่นเอง อันเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องนั้นแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกากลับนำคดีเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยอีก แม้คำฟ้องคดีเรื่องหลังนี้โจทก์กล่าวอ้างด้วยว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ก็เป็นผลจากเหตุอันเดียวกันกับที่โจทก์กล่าวอ้างในคดีก่อนนั่นเอง เห็นว่าเมื่อคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 149/2517 นั้นคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องของโจทก์ด้วยเหตุผลว่าเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 433/2516 ของศาลจังหวัดชลบุรีแล้ว โจทก์จะนำคดีซึ่งเคยถูกยกฟ้องด้วยเหตุฟ้องซ้ำมารื้อร้องฟ้องอีกหาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 คดีไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 433/2516 ด้วยหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นด่วนชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายยังมิชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์

Share