คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2535/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องขอให้ชำระราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อจนครบตามสัญญาเช่าซื้อข้อ12ซึ่งกำหนดว่า”ถ้าหากผู้เช่าซื้อบอกเลิกการเช่าซื้อตามข้อ8ของสัญญาหรือถ้าหากเจ้าของบอกเลิกการเช่าซื้อหรือกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินใหม่ดังเดิมตามสัญญาผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายค่าซ่อมทรัพย์สินให้กลับคืนสู่สภาพดีตามที่ประมาณราคาขึ้นเพื่อชดใช้ค่าเสื่อมราคาและค่าเสียหายนอกเหนือจากค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ค้างชำระอยู่แล้วตลอดทั้งจำนวนเงินอื่นใดที่จะต้องจ่ายตามสัญญานี้และต้องจ่ายเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่จ่ายเป็นค่าเช่าซื้อแล้วจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องจ่ายถ้าหากว่าการเช่าซื้อดำเนินต่อไปตลอดระยะเวลาแห่งสัญญา”ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ใช้บังคับได้โดยมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับและในกรณีฟ้องเรียกราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงต้องใช้อายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา190/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์1 คัน ในราคา 350,150 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อ42 งวด งวดละ 8,337 บาทกำหนดชำระทุกวันที่ 5ของเดือน เริ่มวันที่ 5 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง10 งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งงวดที่ 11 ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ 5 มกราคม 2535 เป็นต้นมาเป็นเวลา2 งวด ติดต่อกัน โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยสัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2535 เมื่อสัญญาเลิกกันแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ยอมส่งมอบรถคืน จนกระทั่งวันที่ 13 เมษายน 2535โจทก์จึงสามารถติดตามยึดรถกลับคืนมาได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถ 3,500 บาท ต่อมาโจทก์นำรถออกประมูลขายได้ 152,500 บาท โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์คือค่าเสื่อมราคาของทรัพย์อันเกิดจากการใช้ของจำเลยที่ 1จำนวน 114,280 บาท ค่าใช้ทรัพย์และค่าติดตามรถคืนเป็นเงินจำนวน 20,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น134,280 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 134,280 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ได้รับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 ไปพอสมควรแล้ว จึงไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้องอีก ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 30,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 15,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 3 วรรคสามว่าโจทก์ได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายโดยวิธีประมูลมีผู้เข้าสู้ราคาหลายราย โจทก์ได้ตกลงขายให้แก่ผู้ที่เสนอราคาสูงสุดไปในราคา 152,500 บาท ดังนั้นราคารถยนต์จึงยังขาดอยู่114,280 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระเงินที่ขาดนี้ให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ข้อ 12 และบรรยายฟ้องข้อ 4 ว่า รวมเป็นหนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ 134,280 บาทเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการฟ้องขอให้ชำระราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อจนครบตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4ข้อ 12 ซึ่งกำหนดว่า “ถ้าหากผู้เช่าซื้อบอกเลิกการเช่าซื้อหรือกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินใหม่ดังเดิมตามสัญญาผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายค่าซ่อมทรัพย์สินให้กลับคืนสู่สภาพดีตามที่ประมาณราคาขึ้นเพื่อชดใช้ค่าเสื่อมราคา และค่าเสียหายนอกเหนือจากค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ค้างชำระอยู่แล้ว ตลอดทั้งจำนวนเงินอื่นใดที่จะต้องจ่ายตามสัญญานี้และต้องจ่ายเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่จ่ายเป็นค่าเช่าซื้อแล้วจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องจ่ายถ้าหากว่าการเช่าซื้อดำเนินต่อไปตลอดระยะเวลาแห่งสัญญา” ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ใช้บังคับได้โดยมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับและในกรณีฟ้องเรียกราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30มิใช่อายุความหกเดือน คดีนี้สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงเมื่อวันที่7 เมษายน 2535 และโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2535คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้เต็มตามฟ้อง114,280 บาท แก่โจทก์นั้นปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ ได้วินิจฉัยมาแล้วว่าราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญามีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับสำหรับเบี้ยปรับนั้น หากกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ เนื่องจากราคารถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นการคิดราคารวมกับค่าเช่าและการใช้รถยนต์จะต้องมีการเสื่อมราคา พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน35,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share