คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6729/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยแถลงต่อศาลในคดีอาญา ขอให้สัญญาแก่ผู้เสียหายว่าจะนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้เสียหายภายใน 3 เดือนโดยขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป และผู้เสียหายก็แถลงรับต่อศาลว่า หากจำเลยสามารถปฏิบัติได้ตามที่ให้สัญญา ผู้เสียหายก็จะถอนคำร้องทุกข์และไม่เรียกร้องหนี้จำนวนใดอีก ดังนี้คำแถลงของผู้เสียหายเป็นเพียงการให้คำมั่นต่อศาลมิได้สนองรับคำเสนอของจำเลยแต่อย่างใดและเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการเลื่อนคดีออกไปตามที่จำเลยแถลง คำแถลงของจำเลยและผู้เสียหายในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถือว่าเป็นการยอมความตามกฎหมาย แม้ต่อมาผู้เสียหายจะได้นำเอาข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาไปอ้างในการยื่นฟ้องคดีแพ่งและได้ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องคดีแพ่งไปโดยอ้างเหตุผลว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยในมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับหนี้ตามเช็คในคดีนี้เพื่อแสดงว่าสิทธิเรียกร้องทางแพ่งของผู้เสียหายยังไม่ขาดอายุความก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้เห็นว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยย่อมฟังได้แต่เพียงว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีแพ่งเท่านั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงยังหาได้ระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)สาขาแพร่ จำนวน 2 ฉบับ มอบให้แก่นางจุรีรัตน์ อเนกศิริกุล ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อทองรูปพรรณ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับโดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ทั้งนี้ โดยจำเลยออกเช็คทั้งสองฉบับโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเหตุเกิดที่ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ อนึ่งจำเลยในคดีนี้เป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 483/2541 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 483/2541 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 กระทงแรก จำคุก 5 เดือน กระทงที่สอง จำคุก 1 ปี รวมจำคุก1 ปี 5 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน 15 วัน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 483/2541ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษาจึงให้ยกคำขอในส่วนนี้เสีย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษกระทงแรกจำคุก 1 เดือน กระทงที่สอง จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก1 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ได้ระงับไปเพราะมีการยอมความกันแล้วจริงหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าการที่จำเลยให้สัญญากับผู้เสียหายว่าจะขอชำระหนี้เพียง 110,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายภายใน3 เดือน และผู้เสียหายแถลงว่าหากจำเลยนำเงินจำนวน 110,000 บาทมาชำระให้แก่ผู้เสียหายภายใน 3 เดือน ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์และถ้าจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวครบถ้วนก็จะไม่ติดใจเรียกร้องหนี้ตามเช็คเกินกว่าจำนวนที่จำเลยเสนอซึ่งศาลได้จดรายงานกระบวนพิจารณา โดยจำเลยและผู้เสียหายลงลายมือชื่อไว้ ถือว่าเป็นคำเสนอของจำเลย และผู้เสียหายได้มีคำสนองรับคำเสนอของจำเลยแล้วและต่อมาผู้เสียหายได้นำคำเสนอของจำเลยในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวไปใช้กล่าวอ้างและถือเอาประโยชน์โดยนำไปยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกให้จำเลยชำระเงินในมูลหนี้เดียวกันกับเช็คตามฟ้องคดีนี้และต่อมาผู้เสียหายได้ถอนฟ้องคดีแพ่งดังกล่าวโดยอ้างเหตุผลว่าไม่ประสงค์ดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป ย่อมถือเป็นการยอมความโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว นั้น เห็นว่า การยอมความคือการตกลงระงับคดีอาญาที่มีต่อกัน การที่จำเลยแถลงต่อศาลว่าขอให้สัญญาแก่ผู้เสียหายว่าจะนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้เสียหายภายใน3 เดือน โดยขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปและผู้เสียหายก็แถลงต่อศาลรับว่าหากจำเลยสามารถปฏิบัติได้ตามที่ให้สัญญา ผู้เสียหายก็จะถอนคำร้องทุกข์และไม่เรียกร้องหนี้จำนวนใดแก่ผู้เสียหายอีก เห็นได้ชัดว่าผู้เสียหายมิได้สนองรับคำเสนอของจำเลยแต่อย่างใด เพียงแต่ให้คำมั่นต่อศาลว่า ถ้าจำเลยสามารถปฏิบัติได้ตามที่ให้สัญญาผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์และไม่เรียกร้องหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นนำมาประกอบดุลพินิจในการเลื่อนคดีออกไปตามที่จำเลยแถลง เพราะจำเลยกับผู้เสียหายอาจตกลงยอมความกันได้ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไป โดยไม่ต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยมีความผิดและพิพากษาลงโทษจำเลย ซึ่งจะก่อให้เกิดผลที่ดีแก่ทั้งผู้เสียหายและจำเลยคำแถลงของจำเลยและผู้เสียหายในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงไม่ถือเป็นการยอมความกันตามกฎหมายแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าต่อมาผู้เสียหายได้นำเอาข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณามาอ้างในการยื่นฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อทองรูปพรรณจำนวนเดียวกับหนี้ตามเช็คคดีนี้และได้ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องคดีแพ่งดังกล่าวไป โดยอ้างเหตุผลว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลย ก็เป็นเรื่องการฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิม ซึ่งยังมิได้ระงับไปเพราะการออกเช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับ และกล่าวอ้างข้อเท็จจริงในส่วนคำแถลงของจำเลยเพื่อแสดงถึงสิทธิเรียกร้องทางแพ่งของผู้เสียหายที่ยังไม่ขาดอายุความเพราะจำเลยได้สละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา หรืออายุความ และการรับสภาพความรับผิด มิใช่เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายยอมตกลงรับคำเสนอของจำเลยโดยไม่ประสงค์จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยและการที่ผู้เสียหายยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องคดีแพ่งดังกล่าวโดยอ้างเหตุผลว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงให้เห็นว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย ย่อมฟังได้แต่เพียงว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีแพ่งในคดีดังกล่าวแก่จำเลยเท่านั้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่ามีการยอมความกันแล้วตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ จึงยังหาได้ระงับไป ดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share