คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3398/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 เดิม เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่จำเลยผู้ขาดนัดพิจารณาที่จะร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ โดยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่เมื่อได้มีการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้แก่จำเลย หรือภายใน 15 วัน นับแต่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง ซึ่งในการส่งคำบังคับนั้น ต้องเป็นการส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) หากการส่งคำบังคบให้แก่จำเลยไม่ใช่เป็นการส่งไปยังสถานที่ดังกล่าวแล้ว ก็ถือว่าเป็นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยมิชอบ เมื่อยังไม่มีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยชอบ กำหนดระยะเวลา 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 วรรคหนึ่ง(เดิม)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงยังไม่เริ่มนับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าอาคารสำนักงานของโจทก์แล้วผิดสัญญาค้างชำระค่าเช่าและค่าเสียหายต่าง ๆ ซึ่งโจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 968,735.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 823,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 พฤษภาคม 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว โดยการปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2541 ที่บ้านเลขที่ 400 อาคารไพโรจน์กิจจา ชั้น 18 ถนนบางนา -ตราด แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ครบกำหนดตามคำบังคับแล้ว ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2541 ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้นั้นจำเลยไม่ทราบมาก่อน เพราะมีการนำหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง คำบังคับ หนังสือแจ้งการยึดที่ดินของจำเลยส่งให้แก่จำเลยโดยการปิดไว้ที่อาคารที่จำเลยเช่าจากโจทก์ตามฟ้อง ซึ่งจำเลยมิได้ใช้เป็นสถานที่ดำเนินกิจการต่อไปแล้วจำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องคดี ดังนั้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2543 จำเลยจึงแต่งตั้งทนายความไปขอตรวจสำนวนที่ศาลชั้นต้น จำเลยได้ใช้สถานที่ในอาคารที่เช่าจากโจทก์ถึงเพียงเดือนธันวาคม 2539 แล้วก็หยุดดำเนินกิจการในอาคารที่เช่าจากโจทก์ เป็นแต่เพียงจำเลยยังมิได้แจ้งย้ายภูมิลำเนาออกไปเท่านั้น จำเลยมิได้มีเจตนาขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาแต่อย่างใด จำเลยไม่ได้ค้างชำระค่าเช่าและค่าบริการส่วนค่าเสียหายที่เรียกมาก็สูงเกินไป หากจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีแล้ว จำเลยมีทางชนะคดีได้ขอศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ให้งดไต่สวนและวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยอ้างว่าได้ทราบว่าโจทก์ฟ้องในวันที่ 3 มีนาคม 2543 นั้น ถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ได้สิ้นสุดลงในวันดังกล่าว จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน เมื่อพฤติการณ์เช่นนั้นได้สิ้นสุดลง การที่จำเลยมายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 21มีนาคม 2543 ซึ่งเป็นระยะเวลาเกิน 15 วันแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 เดิม มีคำสั่งให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า…ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่บัญญัติว่า “คำขอให้พิจารณาใหม่นั้น ให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย แต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับเช่นว่านี้ โดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน จะต้องได้มีการปฏิบัติตามคำกำหนดนั้นแล้ว อนึ่งถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่บัญญัติไว้ข้างบนนี้โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงแต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น” เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่จำเลยผู้ขาดนัดพิจารณาที่จะร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ โดยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่เมื่อได้มีการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้แก่จำเลยหรือภายใน 15 วัน นับแต่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ได้สิ้นสุดลง ซึ่งในการส่งคำบังคับดังกล่าวนั้นต้องเป็นการส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) หากการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยไม่ใช่เป็นการส่งยังสถานที่ดังกล่าวแล้วก็ถือว่าเป็นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยมิชอบ เมื่อยังไม่มีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยชอบ กำหนดระยะเวลา 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 วรรคหนึ่ง (เดิม) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงยังไม่เริ่มนับ ซึ่งตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย แม้จำเลยจะยอมรับว่าจำเลยเคยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 400 อาคารไพโรจน์กิจจา ชั้น 18 ถนนบางนา – ตราดแขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ก็ตาม แต่จำเลยก็ได้กล่าวอ้างในคำร้องว่าได้ใช้สถานที่ดังกล่าวถึงเดือนธันวาคม 2539 เท่านั้น โดยจำเลยได้มีหนังสือแจ้งโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าสถานที่ดังกล่าวแล้ว เป็นแต่เพียงจำเลยยังมิได้แจ้งย้ายภูมิลำเนาออกไปเท่านั้น ซึ่งอาคารที่เป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามหลักฐานทางทะเบียนดังกล่าวนี้เป็นอาคารของโจทก์เอง โจทก์จึงทราบดีว่าจำเลยยังอยู่อาศัยหรือได้ออกไปจากอาคารของโจทก์แล้วตั้งแต่เมื่อใด เพราะโจทก์ดำเนินกิจการให้เช่าอาคารนี้เป็นธุรกิจของโจทก์ ดังนั้นหากเป็นไปตามคำร้องของจำเลยว่าจำเลยได้ใช้อาคารของโจทก์ดำเนินกิจการถึงเดือนธันวาคม 2539 เท่านั้นแล้วย้ายออกไป การที่โจทก์นำคำบังคับไปปิดที่บ้านเลขที่ 400อาคารไพโรจน์กิจจา ชั้น 18 ถนนบางนา – ตราด แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2541 โดยที่โจทก์ก็ทราบดีว่าจำเลยมิได้อยู่ในอาคารดังกล่าวเช่นนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ ทำให้จำเลยเสียเปรียบ อันถือได้ว่ายังไม่มีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยให้ได้ความแน่ชัดก่อนที่จะมีคำสั่งใด ๆ การที่ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่ให้งดไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จึงให้ยกคำร้องของจำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยแล้วมีคำสั่งตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share