คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6712/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของ ว. จึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของ ว. และข้อความในบันทึกถ้อยคำการไม่รับมรดกตามเอกสารหมายจ.8 หรือ ล.2 แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าไม่ประสงค์จะยกที่ดินและ ห้องแถวพิพาทที่เป็นส่วนสินสมรสของโจทก์ให้แก่จำเลย ที่ดินและห้องแถวพิพาทส่วนที่เป็นสินสมรสของโจทก์จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย สำหรับมรดกในส่วนสินสมรสของ ว. ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 การที่จำเลยไปแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นบุตรของ ว. และขอรับมรดกของ ว.เป็นการไม่ชอบโจทก์ในฐานะสามีของว.ซึ่งเป็นทายาทของ ว. ชอบที่จะขอให้เพิกถอนการรับมรดกที่ดินและห้องแถวพิพาทของจำเลยเสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีของนางวลัย ระหว่างอยู่กินด้วยกันมีที่ดิน 1 แปลง โฉนดเลขที่ 322 แต่ใส่ชื่อนางวลัยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คนเดียว หลังจากที่ซื้อที่ดินแล้วโจทก์ได้ปลูกสร้างบ้านเป็นห้องแถวไม้สองชั้นจำนวน 4 ห้อง และเข้าอยู่อาศัยตลอดมารวมราคาที่ดินและห้องแถวประมาณ 530,200 บาท ซึ่งโจทก์มีสิทธิอยู่ครึ่งหนึ่ง โจทก์กับนางวลัยไม่มีบุตรด้วยกันแต่ได้ขอจำเลยมาเลี้ยงดูโดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาวันที่ 15มกราคม 2529 นางวลัยถึงแก่ความตาย จำเลยไปขอรับโอนที่ดินและห้องแถวดังกล่าวเป็นของจำเลยเพียงผู้เดียว โดยแจ้งความเท็จ ต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวลัยและเป็นทายาทเพียงผู้เดียวซึ่งไม่เป็นความจริง ต่อมาวันที่29 เมษายน 2529 เจ้าพนักงานที่ดินโอนทรัพย์ดังกล่าวแก่จำเลยโดยมิได้แบ่งสินสมรสให้โจทก์ครึ่งหนึ่งก่อน โจทก์เพิ่งทราบเรื่องการ โอนทรัพย์เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2533 และได้ขอให้จำเลยโอนทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์กับทายาทอื่นของนางวลัยตามส่วนแต่จำเลย ไม่ยอม ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 322 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางวลัย โจทก์มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้ตกเป็นกองมรดกของนางวลัย จำเลยไม่มีสิทธิรับมรดกของนางวลัยและให้นิติกรรมต่าง ๆ ในการรับโอนมรดกของจำเลย เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวและให้ ส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนางวลัย ตกทอดแก่โจทก์กับทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกแบ่งกันตามกฎหมายต่อไป ให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ดินโฉนดเลขที่ 322 ให้เป็นไปตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวลัยทรัพย์พิพาทตามฟ้องเป็นสินส่วนตัวของนางวลัย โจทก์ได้แสดงเจตนาสละสิทธิไม่รับมรดกทรัพย์ดังกล่าวแล้วโดยยอมให้ตกได้แก่จำเลยทั้งหมดโจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกคืนได้ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกแล้วเพราะมิได้ใช้สิทธิฟ้องภายใน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการรับมรดกของจำเลยในที่ดินโฉนดเลขที่ 322 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นของนางวลัย คันธโร และให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในฐานะสินสมรสกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของนางวลัยตกได้แก่ทายาท คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์กับนางวลัยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2487 ที่ดินและห้องแถวพิพาทเป็นสินสมรสของคนทั้งสอง นางวลัยถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2529 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ จำเลยมิใช่บุตร และมิใช่ทายาทของนางวลัย แต่ได้ไปขอรับโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อวันที่ 22 เดือนเดียวกัน ต่อมาวันที่13 กุมภาพันธ์ 2529 โจทก์ได้ลงชื่อในบันทึกถ้อยคำการไม่รับมรดกตามเอกสารหมาย จ.8 หรือ ล.2 มีความว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะรับมรดกที่ดินพิพาทของนางวลัย ยอมให้จำเลยรับมรดกรายนี้ไปได้ เจ้าพนักงานที่ดินจึงได้จดทะเบียนโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2529 ปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยมีว่าบันทึกถ้อยคำการไม่รับมรดกตามเอกสารหมาย จ.8 หรือ ล.2 เป็นผลให้โจทก์สิ้นสิทธิในที่ดินและห้องแถวพิพาทหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิใช่ทายาทโดยธรรมของนางวลัยจำเลยจึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของนางวลัยและจากข้อความในบันทึกเอกสารหมาย จ.8 หรือ ล.2 นี้ แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าไม่ประสงค์จะยกที่ดินและห้องแถวพิพาทที่เป็นส่วนสินสมรสของโจทก์ให้แก่จำเลยเพราะมิได้กล่าวถึงที่ดินและห้องแถวพิพาทส่วนของโจทก์ในฐานะที่เป็นสินสมรสเลย เมื่อข้อความในบันทึกถ้อยคำการไม่รับมรดกตามเอกสารหมาย จ.8 หรือ ล.2 ปรากฏเช่นนี้ ต้องตีความให้เป็นคุณแก่โจทก์ฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ว่า โจทก์ไม่ได้ยกที่ดินและห้องแถวพิพาทให้แก่จำเลยโดยเสน่หา ที่ดินและห้องแถวพิพาทส่วนที่เป็นสินสมรสของโจทก์จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย สำหรับมรดกในส่วนสินสมรสของนางวลัยย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1629 การที่จำเลยไปแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นบุตรของนางวลัยและขอรับมรดกของนางวลัยเป็นการไม่ชอบ โจทก์ในฐานะสามีของนางวลัยซึ่งเป็นทายาทของนางวลัยชอบที่จะขอให้เพิกถอนการรับมรดกที่ดินและห้องแถวพิพาทของจำเลยเสียได้
พิพากษายืน

Share