คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้กล่าวในฟ้องแล้วว่า รถยนต์ของโจทก์ที่ถูกชนส่วนไหนของรถที่ได้รับความเสียหายบ้าง เสียค่าซ่อมแซมเป็นเงินเท่าใดโจทก์หาต้องกล่าวมาในคำฟ้องว่า ชิ้นส่วนของรถที่ได้รับความเสียหายนั้น รายการใดเป็นการเปลี่ยนอุปกรณ์ รายการใดเป็นการซ่อมของเดิมในแต่ละรายการเป็นเงินเท่าใดไม่ รายละเอียดดังกล่าวเป็นเรื่องที่คู่ความนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม แม้หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี โจทก์ที่ 2 ผู้มอบอำนาจจะลงชื่อฝ่ายเดียว โจทก์ที่ 1 มิได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจด้วยก็ใช้ได้เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้รับมอบอำนาจต้องลงชื่อด้วย โจทก์ที่ 1 ซื้อรถยนต์มาก่อนเกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แม้โจทก์ที่ 1 จะโอนใส่ชื่อโจทก์ที่ 2ในทะเบียนเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวก็เพื่อความจำเป็นในทางธุรกิจเท่านั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของโจทก์ที่ 1 อยู่ เพราะทะเบียนรถยนต์มิใช่ทะเบียนกรรมสิทธิ์ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์แท็กซี่ หมายเลขทะเบียน 1 ท-6753 กรุงเทพมหานคร โดยโจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียน โจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีแทน เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2528 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นข้าราชการกองทัพอากาศทำหน้าที่เป็นคนขับรถของโรงพยาบาลภูมิพลอันเป็นหน่วยงานของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 หมายเลข 59802 ในหน้าที่ราชการด้วยความประมาทใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ฝ่าสัญญาณไฟแดงที่สามแยกเกษตรพุ่งเข้าชนท้ายรถโจทก์ซึ่งมีนายเสรี วิเศษวงษาเป็นคนขับ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายทั้งด้านหน้าด้านหลังต้องเสียค่าอะไหล่ซ่อมแซม 29,310 บาท ค่าเคาะพ่นสี 14,000 บาทและค่าเสียหายอื่น ๆ รวมทั้งค่าเสื่อมราคาและค่าขาดประโยชน์รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 96,110 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น103,318 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 96,110 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์แท็กซี่ตามฟ้อง โจทก์ที่ 2 ไม่มีชื่อทางทะเบียน โจทก์ที่ 1ไม่ได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดี โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุรถยนต์ชนกันไม่ใช่เพราะความประมาทของจำเลยที่ 2แต่เกิดจากความประมาทของนายเสรี ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่ารายการใดเป็นการซื้ออุปกรณ์มาเปลี่ยนใหม่ รายการใดเป็นการซ่อมแซมของเดิม และแต่ละรายการเป็นค่าซื้อหรือค่าซ่อมแซมเท่าใด ค่าเสียหายสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 78,585 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 17 มกราคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่ารายการซ่อมแซมรถยนต์ของโจทก์รายการใดเป็นการซื้ออุปกรณ์มาเปลี่ยน รายการใดเป็นการซ่อมแซมของเดิม แต่ละรายการเป็นเงินเท่าใดนั้น เห็นว่า โจทก์ได้กล่าวในฟ้องแล้วว่ารถยนต์ของโจทก์ที่ถูกชนส่วนไหนของรถที่ได้รับความเสียหายบ้าง เสียค่าซ่อมแซมเป็นเงินเท่าใด โจทก์หาต้องกล่าวมาในคำฟ้องว่าชิ้นส่วนของรถที่ได้รับความเสียหายนั้น รายการใดเป็นการเปลี่ยนอุปกรณ์ รายการใดเป็นการซ่อมของเดิม ในแต่ละรายการเป็นเงินเท่าใดไม่ รายละเอียดดังกล่าวเป็นเรื่องที่คู่ความนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ปัญหาข้อสองที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ที่ 1 ไม่ได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 2ให้ฟ้องคดี และโจทก์ที่ 1 ได้โอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันเกิดเหตุให้โจทก์ที่ 2 ตามหลักฐานทางทะเบียนรถยนต์แล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ที่ 1 ฟ้องแทนโจทก์ที่ 2 และแนบหนังสือมอบอำนาจมาในท้ายฟ้องโดยหนังสือมอบอำนาจระบุชัดแจ้งว่าโจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ แม้หนังสือมอบอำนาจนี้โจทก์ที่ 2 ลงชื่อฝ่ายเดียว โจทก์ที่ 1 มิได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจด้วยก็ใช้ได้เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้รับมอบอำนาจต้องลงชื่อด้วย ส่วนรถยนต์แท็กซี่คันเกิดเหตุเมื่อโจทก์ที่ 1 นำสืบได้ว่าเป็นผู้ซื้อมาก่อนเกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แม้โจทก์ที่ 1จะโอนใส่ชื่อโจทก์ที่ 2 ในทะเบียนเป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าวก็เพื่อความจำเป็นในทางธุรกิจเท่านั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของโจทก์ที่ 1 อยู่เพราะทะเบียนรถยนต์มิใช่ทะเบียนกรรมสิทธิ์โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2ขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดงเข้าไปชนกับรถยนต์ของโจทก์ โดยมิได้เปิดสัญญาณไฟวับวาบ และเสียงไซเรน ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายประมาทและโจทก์ได้รับความเสียหายทุกรายการตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง
พิพากษายืน

Share