แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยที่ 2 มีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 22 มีนาคม 2533ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” โดยมีจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อไว้ และศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 2 นำ ส่งสำเนาให้โจทก์ใน 7 วัน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งในวันที่ 21มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่ง ศาลชั้นต้นนั้นเป็นการแสดงเจตนายอมรับว่าจะมาฟังคำสั่ง ในวันดังกล่าว ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2533 เมื่อจำเลยที่ 2 เพิกเฉย ไม่ จัดการนำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ฎีกาของจำเลยที่ 3 มีข้อความประทับด้วยตรายางของ ศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 23 มีนาคม 2533ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” แต่ผู้ที่ลงลายมือชื่อ ไว้ ใต้ตราประทับดังกล่าวไม่ใช่จำเลยที่ 3 หรือทนายจำเลยที่ 3 ทั้งไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 หรือ ทนายจำเลยอย่างไร ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้ จำเลยที่ 3นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ใน 7 วัน แต่เป็นการสั่งในวันที่ 21 มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจาก จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกา จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นแล้ว แม้จำเลยที่ 3 ไม่นำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ก็ไม่เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินลงทุน260,000 บาท คืนโจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ร่วมกันชำระพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินลงทุนรวม 260,000 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินจำนวน260,000 บาท ให้โจทก์ ก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันใช้เงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่20 มีนาคม 2533 ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาของจำเลยที่ 2 และของจำเลยที่ 3ทำนองเดียวกันว่า รับฎีกา สำเนาให้โจทก์ ให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ เพื่อดำเนินการต่อไป มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมการส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาภายในกำหนด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีข้อความประทับด้วยตรายางยางศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 22มีนาคม 2533 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” โดยมีจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อไว้ และศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 2 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ใน 7 วัน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งในวันที่ 21 มีนาคม 2533ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่งศาลชั้นต้นนั้นเป็นการแสดงเจตนายอมรับว่าจะมาฟังคำสั่งในวันดังกล่าว ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2533 เมื่อจำเลยที่ 2 เพิกเฉยไม่จัดการนำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2)
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 3 ซึ่งมีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 23 มีนาคม 2533ถ้าไม่มาให้ ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” แต่ปรากฏว่าผู้ที่ลงลายมือชื่อไว้ใต้ตราประทับดังกล่าวไม่ใช่จำเลยที่ 3 หรือทนายจำเลยทั้งไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 หรือทนายจำเลยที่ 3 อย่างไรดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ใน 7 วัน แต่เป็นการสั่งในวันที่ 21 มีนาคม 2533ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกา จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว แม้จำเลยที่ 3ไม่นำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ก็ไม่เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)
ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 21 มีนาคม 2533ให้จำเลยที่ 3 ทราบ แล้วดำเนินการต่อไป และให้จำหน่ายคดีของจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความของศาลฎีกา