คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ประชาชน หากมีผู้โต้แย้งคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินมีอำนาจทำการสอบสวนเปรียบเทียบ ถ้าตกลงกันได้ก็ดำเนินการไปตามที่ตกลงหากตกลงกันไม่ได้ เจ้าพนักงานที่ดินมีอำนาจพิจารณาสั่งการไปตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60 วรรคแรก ซึ่งคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินหาเป็นยุติไม่ คู่กรณีฝ่ายที่ไม่พอใจคำสั่งมีสิทธิที่จะฟ้องคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งต่อศาลได้ภายใน 60 วัน นับแต่ได้ทราบคำสั่งดังกล่าว แต่ถ้าเจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินแก่บุคคลใดอันเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งการตามที่ตนได้ทำการสอบสวนเปรียบเทียบไปโดยสุจริตตามอำนาจหน้าที่ชอบด้วยมาตรา 60 แล้วอีกฝ่ายย่อมไม่มีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2536 นายจุ้ย พรมุณีสุนทร เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 920/31 หมู่ที่ 1 ตำบลหนองนาแซง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ เนื้อที่ 2 ไร่ 97 ตารางวายื่นคำขอออกโฉนดที่ดินและนำทำการรังวัดปักหลักเขตได้เนื้อที่ 2 ไร่1 งาน 75 ตารางวา ได้เนื้อที่เกินไปจากเดิมจำนวน 78 ตารางวา โจทก์คัดค้านว่าที่ดินส่วนที่เกินเป็นของโจทก์ที่โจทก์ครอบครองต่อเนื่องมาหลังจากซื้อมาจากนางสุ่มติดชัยภูมิ ประมาณ 10 ปีแล้ว แต่เมื่อจำเลยพิจารณาคำขอของนายจุ้ยและคำคัดค้านของโจทก์แล้ว มีคำสั่งว่านายจุ้ยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ตามคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิที่ 38/2537 ให้ออกโฉนดที่ดินแก่นายจุ้ย อันเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยระเบียบและไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน เนื่องจากขัดแย้งกับระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2515) หมวด 5 ข้อ 11(1)(2) ที่ระบุโดยชัดแจ้งว่าการออกโฉนดที่ดินและการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในกรณีที่เนื้อที่แตกต่างจากหลักฐานการแจ้งการครอบครอง ให้ออกโฉนดได้เท่าที่ทำประโยชน์อยู่แล้ว นายจุ้ยอ้างว่าซื้อที่ดินมาจากนางวันดี ใบเขียว ทั้งแปลง เนื้อที่เพียง 2 ไร่ 97 ตารางวา ทั้งรูปแผนที่ เนื้อที่ ระยะในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ดังกล่าวก็ระบุจำนวนเนื้อที่ระยะความกว้างยาว ด้านทิศเหนือ ด้านทิศใต้ ด้านทิศตะวันออก ด้านทิศตะวันตกที่เจ้าพนักงานที่ดินเขียนกำกับไว้ถูกต้อง เมื่อทำการรังวัดใหม่เพื่อออกโฉนดที่ดินจำนวนเนื้อที่ก็ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง หากมีการเปลี่ยนแปลงจริงจำเลยก็ไม่ได้ทำการสอบสวนพยานหลักฐาน สอบสวนที่ดินข้างเคียงผู้ปกครองท้องที่ให้ปรากฏว่าจำนวนเนื้อที่เพิ่มขึ้นด้วยเรื่องอะไร จำเลยไม่ปฏิบัติตามหนังสือกรมที่ดินที่ มท.0712/ว.7861 ลงวันที่ 17 เมษายน2530 การกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบของประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยกระทำไปโดยกลั่นแกล้งโจทก์หรือโดยมีเจตนาทุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิที่ 38/2537 เรื่องคัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินเสีย

จำเลยให้การว่า จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ การออกคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิที่ 38/2537 ของจำเลยเป็นการออกคำสั่งโดยชอบและถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนการออกคำสั่งดังกล่าวจำเลยได้เรียกทั้งสองฝ่ายคือโจทก์และนายจุ้ยมาทำการสอบสวนเปรียบเทียบและตกลงกันเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2537 แต่ทั้งสองฝ่ายไม่อาจตกลงกันได้ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินพิจารณาสั่งการไปตามที่เห็นสมควรจากการสอบสวนเปรียบเทียบตามถ้อยคำทั้งสองฝ่ายที่ได้ให้ไว้แก่พนักงานและจากการสอบสวนเอกสารหลักฐานแล้วและเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2537 โจทก์ก็ได้ทราบคำสั่งดังกล่าว ต่อมาวันที่ 29 สิงหาคม 2537 โจทก์ได้ยื่นฟ้องนายจุ้ยต่อศาลชั้นต้น ขอให้แสดงสิทธิในที่ดิน ขับไล่ห้ามนายจุ้ยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดิน ซึ่งเมื่อจำเลยทราบว่าโจทก์ฟ้องนายจุ้ยแล้วก็ได้สั่งการรอเรื่องการออกโฉนดให้นายจุ้ยไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุด ซึ่งในที่สุดได้มีคำพิพากษาว่าคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่นายจุ้ยของจำเลยชอบแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 636/2540ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดสืบพยานโจทก์ แต่เมื่อถึงวันนัด โจทก์แถลงยอมรับว่าโจทก์ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายจุ้ย พรมุณีสุนทร เป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขที่ 636/2540 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า เดิมที่ดินของนายจุ้ยมีเนื้อที่ 2 ไร่ 97 ตารางวา ซึ่งตามรูปแผนที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ระบุความกว้างความยาวไว้ เมื่อทำการรังวัดออกโฉนดปรากฏว่าเนื้อที่เพิ่มขึ้นไปจากเดิม จำเลยไม่ได้ทำการสอบสวนเจ้าของที่ดินข้างเคียงผู้ปกครองท้องที่ให้ปรากฏว่าเนื้อที่เพิ่มขึ้นด้วยสาเหตุใด อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2515) หมวด 5 ข้อ 11(1)(2) และหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท. 0712/ว.7861 ลงวันที่ 17 เมษายน 2530 ที่ออกตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60 ซึ่งระเบียบดังกล่าวกำหนดว่า หากการรังวัดออกโฉนดที่ดินได้เนื้อที่แตกต่างจากหลักฐานการครอบครองเดิมก็ให้ออกโฉนดได้เท่าที่ทำประโยชน์อยู่ การที่จำเลยมีคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินแก่นายจุ้ยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้จำเลยจะสั่งให้โจทก์ฟ้องนายจุ้ยภายใน 60 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของจำเลยก็ตาม แต่ก็ทำให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ เพราะโจทก์ต้องนำสืบก่อน คำสั่งของจำเลยดังกล่าวย่อมรับฟังได้ในเบื้องต้นเสมอไป ทั้ง ๆ ที่มีข้อเท็จจริงอย่างอื่นเกิดขึ้นใหม่ที่จะลบล้างคำสั่งของจำเลยตามคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิที่ 38/2537 ได้ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวนั้น เห็นว่า ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติที่โจทก์อ้างนั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้วตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2532) ว่าด้วยเงื่อนไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งอยู่ในหมวด 2 ข้อ 8 และเห็นว่า ระเบียบดังกล่าวเพียงบัญญัติไว้เป็นแนวทางให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาถือปฏิบัติเพื่อให้การรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนสำเร็จลุล่วงไปโดยถูกต้องเพื่อประโยชน์ของทางราชการและประชาชนเท่านั้น แต่หากมีผู้โต้แย้งคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน ก็ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาที่จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบ ถ้าตกลงกันได้ก็ให้ดำเนินการไปตามที่ตกลง หากตกลงกันไม่ได้ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขามีอำนาจพิจารณาสั่งการไปตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 60 วรรคแรก ซึ่งคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาดังกล่าวก็หาเป็นยุติไม่ คู่กรณีฝ่ายที่ไม่พอใจคำสั่งมีสิทธิที่จะฟ้องคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งต่อศาลได้ภายใน 60 วัน นับแต่ได้ทราบคำสั่งดังกล่าว อันเป็นการให้โอกาสแก่คู่กรณีที่ไม่พอใจคำสั่งได้นำพยานหลักฐานมาสืบโต้แย้งให้เห็นว่าคำสั่งในการสอบสวนเปรียบเทียบของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินสาขานั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งคดีนี้ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า หลังจากจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิได้ใช้อำนาจทำการสอบสวนเปรียบเทียบกรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับนายจุ้ยเกี่ยวกับการรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ได้ฟ้องนายจุ้ยว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทมีสิทธิครอบครองดีกว่านายจุ้ย แต่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วเห็นว่านายจุ้ยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 636/2540 ของศาลชั้นต้นดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ทำการสอบสวนเจ้าของที่ดินข้างเคียง ผู้ปกครองท้องที่และหลักฐานอื่นให้ปรากฏว่าที่ดินที่นายจุ้ยขอออกโฉนดเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากหลักฐานเดิมเพราะเหตุใดนั้น ก็ได้ความจากคำฟ้องว่า จำเลยได้เรียกโจทก์และนายจุ้ยมาสอบสวนเปรียบเทียบแล้ว ทั้งได้ความว่าคดีเดิมศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าแม้ว่า การรังวัดออกโฉนดที่ดินให้แก่นายจุ้ยจะได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นจากหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์เดิมไปบ้าง แต่การรังวัดออกโฉนดที่ดินนั้นใช้หลักวิชาการในการคำนวณเนื้อที่ย่อมมีความแน่นอนกว่าการรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงไม่มีเหตุที่จะสงสัยว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่นายจุ้ยมาขอออกโฉนดที่ดินจะไม่ใช่ที่ดินแปลงที่นายจุ้ยนำสำรวจเพื่อออกโฉนดที่ดิน อันจะทำให้จำเลยต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมถึงที่มาของที่ดินตามหนังสือกรมที่ดินที่ มท.0712/ว.7861 ลงวันที่ 17 เมษายน 2530 ดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อจำเลยสอบสวนเปรียบเทียบแล้วเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของนายจุ้ยแม้จะมีเนื้อที่ดินเพิ่มขึ้นจากเดิม จำเลยก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่นายจุ้ยได้ และคำสั่งของจำเลยดังกล่าวเป็นการสั่งการไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทั้งเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจไว้ มิได้ทำให้โจทก์หรือนายจุ้ยต้องเสียเปรียบหรือได้เปรียบกันในชั้นพิจารณาของศาลดังเช่นที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด เพราะกระบวนพิจารณาในศาลเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายสามารถนำพยานเข้าสืบถึงที่มาของที่ดินพิพาทที่อ้างว่าเป็นของตนได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งในคดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์ และนายจุ้ยนำสืบแล้ววินิจฉัยว่านายจุ้ยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ และคดีถึงที่สุดแล้ว ตามพฤติการณ์จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่า การที่จำเลยมีคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินแก่นายจุ้ยเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งการไปโดยสุจริตตามอำนาจหน้าที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 60 แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิที่ 38/2537ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share