คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 441/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่จะทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดนั้น จะต้องตกลงผ่อนเวลากันแน่นอนและมีผลว่าในระหว่างผ่อนเวลานั้น เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องไม่ได้ หากเพียงแต่หนี้ถึงกำหนดชำระ เจ้าหนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ เพราะเจ้าหนี้อาจใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อใดก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาซื้อเชื่อเครื่องดื่มไปจากโจทก์ โดยตกลงกันว่าจำนวนเงินที่ซื้อเชื่อนั้นจำเลยจะชำระให้หมดในวันที่ ๑ ของเดือนถัดไป โดยมีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ซื้อเชื่อเครื่องดื่มไปจากโจทก์หลายครั้ง และค้างชำระเงินเป็นจำนวน ๓๙,๙๔๓ บาท โดยไม่ยอมชำระให้โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชำระแทนจนครบ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามสัญญาจำเลยที่ ๑ จะต้องชำระค่าของเชื่อให้หมดสิ้นภายในวันที่ ๑ ของเดือนถัดไป ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์งดจ่ายของเชื่อ เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าของเชื่อภายในเดือน พฤศจิกายน ๒๕๑๕ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะให้ซื้อเชื่อของในเดือนถัดไปอีก หากโจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อไป ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดการที่โจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๑ ก็ดี และการที่โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ซื้อเกินไปกว่าที่ผู้ค้ำประกันตกลงก็ดี เป็นการผิดวัตถุประสงค์ตามสัญญาค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๖,๙๔๓ บาท หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชำระให้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๓๙,๙๔๓ บาท หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชำระ ๓๒,๓๓๘ บาท
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม ศาลฎีกาอนุญาตให้นายพิพากษ์บุตรจำเลยที่ ๒ เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ ๒ ผู้มรณะ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ซื้อของเชื่อไปจากโจทก์คิดเป็นเงิน ๓๙,๙๔๓ บาทจริง และจำเลยที่ ๑ ชำระให้แก่โจทก์ไปแล้ว ๑๓,๐๐๐ บาท คงต้องรับผิดต่อโจทก์เพียง ๒๖,๙๔๓ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องรับผิดเพียง ๑๙,๓๓๘ บาท และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าการที่โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้เอง ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดนั้นว่า การผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่จะทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดนั้น จะต้องมีการตกลงผ่อนเวลากันแน่นอนและมีผลว่าในระหว่างเวลาผ่อนเวลานั้น เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องไม่ได้ หากเพียงแต่หนี้ถึงกำหนดชำระ เจ้าหนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ เพราะเจ้าหนี้อาจใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อใดก็ได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ที่ค้าง ๒๖,๙๔๓ บาทฯ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชำระให้โจทก์จำนวน ๑๙,๓๓๘ บาทฯ

Share