คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ประมาทชนท้ายรถจักรยานสามล้อที่โจทก์โดยสารมาเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บ ขอให้ใช้ค่าเสียหาย นั้นแม้ผู้ขับขี่จักรยานสามล้อนั้นจะประมาทด้วยก็ตาม หากโจทก์เป็นเพียงผู้โดยสาร ไม่มีส่วนต้องรับผิดร่วมกับผู้ขับขี่รถจักรยานสามล้อแต่อย่างใดแล้ว จำเลยก็จะขอให้ศาลเรียกผู้ขับขี่รถจักรยานสามล้อเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยหาได้ไม่ เพราะไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ขณะเมาสุราโดยความประมาทชนท้ายรถจักรยายสามล้อซึ่งนายอำนวยขับขี่ เป็นเหตุให้นางสาวถนอมบุตรโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 21,812 บาท

จำเลยให้การว่า ไม่ได้เมาสุราและไม่ประมาท ความจริงนายอำนวยเป็นผู้ประมาทโดยใช้รถไม่มีทะเบียน ไม่มีใบขับขี่ ไม่จุดโคมไฟบรรทุกผู้โดยสารเกินอัตราจนยางรถจักรยานแตกหยุดอยู่เกือบกึ่งกลางถนน แล้วนายอำนวย นางสาวถนอมไม่ช่วยกันเข็นแอบเข้าริมขอบถนนเป็นความประมาท พอดีมีรถบรรทุกสวนทางมาเปิดไฟใหญ่ทำให้จำเลยตาพร่าเห็นรถจักรยานสามล้อในระยะกระชั้นชิด ห้ามล้อไม่ทันจึงชนเอา เป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยเสียหาย 2,588 บาท นายอำนวยมีส่วนได้เสียร่วมกับโจทก์ ขอให้ศาลเรียกนายอำนวยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)และฟ้องแย้งให้โจทก์กับนายอำนวยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งนั้นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม และนายอำนวยมิได้เป็นโจทก์ร่วม จึงไม่รับฟ้องแย้ง กับให้ยกคำร้องที่ขอให้เรียกนายอำนวยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177การฟ้องแย้งจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม แต่ตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยที่กล่าวหาพาดพิงถึงนางสาวถนอมว่าประมาทด้วยก็เพียงว่าไม่ช่วยกันเข็นรถสามล้อที่ยางแตกแอบริมถนนเท่านั้นได้พิเคราะห์แล้ว นางสาวถนอมเป็นเพียงผู้โดยสารมาในรถสามล้อไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องช่วยเข็นรถสามล้อเข้าแอบไว้ริมของถนนดังจำเลยอ้าง ฉะนั้น การที่รถเกิดชนกันขึ้น หากแม้จะเป็นเพราะรถสามล้อหยุดอยู่กลางถนน ก็ไม่ใช่เพราะความประมาทของนางสาวถนอมในอันจะต้องรับผิดด้วย นอกจากนี้ล้วนแต่เป็นข้อกล่าวหาว่านายอำนวยเป็นผู้ประมาททั้งสิ้น เป็นฟ้องแย้งที่ขอให้บังคับคนภายนอกซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งไม่ได้หากจำเลยยังติดใจที่จะเรียกร้องก็ชอบที่จะฟ้องนายอำนวยเป็นคดีต่างหาก เพราะโจทก์กับนายอำนวยไม่มีส่วนได้เสียหรือความรับผิดร่วมกัน การที่จำเลยร้องขอให้เรียกนายอำนวยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม เป็นพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องนายอำนวยมากกว่าคำพิพากษาฎีกาที่ 463/2503 ที่จำเลยอ้างมานั้น ปรากฏว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันที่ถูกชน และจำเลยต่อสู้ว่าคนขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ประมาททำให้จำเลยเสียหาย จึงฟ้องแย้งโดยขอให้เรียกคนขับรถเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ได้ เพราะโจทก์อาจต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่หากคนขับรถลูกจ้างของโจทก์ประมาทจริง แต่คดีนี้โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถสามล้ออันเป็นรถรับจ้างคันที่ถูกชน โจทก์ไม่ใช่นายจ้างของนายอำนวย หากแต่เป็นผู้โดยสารเท่านั้น แม้จะฟังว่านายอำนวยผู้ขับขี่รถสามล้อประมาททำให้จำเลยเสียหายโจทก์ก็ไม่ต้องรับผิดร่วมด้วย รูปคดีไม่เหมือนกัน ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟ้องแย้ง และให้ยกคำร้องชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share