คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3726/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ระบุเอาบ้านพิพาทเป็นประกันต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินชำระหนี้จึงตกลงจะไปจดทะเบียนโอนบ้านพิพาทแก่โจทก์แต่จำเลยที่ 1 กลับทำสัญญาซื้อขายจดทะเบียนโอนบ้านพิพาทแก่จำเลยที่ 2 นิติกรรมดังกล่าวจำเลยที่ 1 กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ และจำเลยที่ 2 ซื้อบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต ดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
เจ้าหนี้ผู้ที่จะเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลไม่จำต้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท นำบ้านเลขที่ ๖๑/๒๔ มอบไว้เป็นประกันเงินกู้ หลังจากกู้เงินไปจำเลยที่ ๑ ไม่เคยชำระดอกเบี้ยโจทก์ติดต่อให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ย มิฉะนั้นจะฟ้องให้ชำระหนี้ ครั้นวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ ได้โอนบ้านที่วางประกันไว้แก่โจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๒ ในราคา ๒๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ รู้ดีว่าจำเลยที่ ๑ นำบ้านหลังดังกล่าวเป็นหลักประกันการกู้เงินจากโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายบ้านพิพาทและโอนบ้านให้จำเลยที่ ๑ ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันมีคำพิพากษา หากเพิกเฉยก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อบ้านพิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายบ้าน ระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้โอนบ้านดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ ๑ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๕ จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาทจริง
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ทั้งๆ ที่หนี้เงินกู้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ และในการที่โจทก์จะบังคับคดีได้นั้น สิทธิเรียกร้องในบ้านพิพาทของโจทก์จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ และศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงจะมีสิทธิบังคับคดีในบ้านพิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับคดีเอาแก่บ้านพิพาทแต่ประการใด แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายบ้านพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นการฉ้อฉลโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ เช่นนี้ เจ้าหนี้ผู้ขอเพิกถอนการฉ้อฉลไม่จำต้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใด ฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉลรายนี้ได้
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ อีกว่า สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทเป็นนิติกรรมอันจำเลยที่ ๑ ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบหรือไม่ เห็นว่านายกรุ่นพยานโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์และจำเลยทั้งสองเช่าที่ดินปลูกบ้านอยู่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับฝ่ายใด นับว่าเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความของนายกรุ่นจึงมีน้ำหนักเชื่อถือรับฟังได้ การที่ไม่มีประกาศขายบ้านพิพาทปิดอยู่ที่บ้านพิพาทก็ดี เวลานายกรุ่นสอบถามเรื่องไถ่บ้านพิพาทเมื่อจำเลยทั้งสองไปขอให้นายกรุ่นลงชื่อให้ความยินยอมก็ดี แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ต้องทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์และเอาบ้านพิพาทเป็นประกันไว้ มิฉะนั้นย่อมมีประกาศขายบ้านพิพาทปิดไว้ที่บ้านพิพาทตามระเบียบซึ่งคนบ้านใกล้เรือนเคียงและโจทก์ย่อมทราบว่ามีการขายบ้านพิพาทก่อนที่จำเลยทั้งสองจะไปทำการโอนกัน โจทก์อาจไปคัดค้านได้ทันแต่จำเลยทั้งสองคงมีความประสงค์ที่จะปกปิดการซื้อขายบ้านพิพาทจึงมิได้นำประกาศไปปิดไว้และในวันที่นายกรุ่นถามเรื่องไถ่บ้านพิพาท หากจำเลยที่ ๒ ไม่ทราบเรื่องมาก่อนจริงจำเลยที่ ๒ ก็น่าที่จะไปสอบถามโจทก์ให้แน่ชัดว่าจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วจริงหรือไม่ จากพฤติการณ์ดังกล่าวมาเชื่อได้ว่าสัญญาซื้อขายบ้านพิพาทเป็นนิติกรรมอันจำเลยที่ ๑ ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ และจำเลยที่ ๒ ซื้อบ้านพิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริต โจทก์ย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗
พิพากษายืน.

Share