คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766-767/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อสัญญาเด็ดขาดว่า เมื่อผู้กู้ไม่ใช้เงินต้องโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้ให้กู้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าสิทธิแห่งการเช่านั้นมีราคาเท่าใดในท้องตลาดในเวลาส่งมอบ ย่อมขัดกับมาตรา 656 วรรค 2 ย่อมเป็นโมฆะตามวรรค 3 ตามนัยฎีกาที่ 779/2497 ผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิฟ้องให้โอนสิทธิการเช่าดังกล่าว.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2506).

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์หรือถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่สามารถโอนการเช่าให้ได้ ให้จำเลยใช้ต้นเงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินกู้ ๕๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย ถ้าไม่สามารถก็ให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกตามฟ้องโจทก์ ฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ใช้ต้นเงินเพียง ๔๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนอกนี้ให้เป็ฯไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาเฉพาข้อที่พิพากษาให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกให้แก่โจทก์และขอทุเลาการบังคับคดี ศาลฎีกาไม่อนุญาต
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้โอนการเช่าตึกจากจำเลยมาให้โจทก์เป็นผู้เช่าแทนต่อไปแล้ว แต่จำเลยกับบริวารไม่ยอมออกจากตึกดังกล่าว ขอให้ศาลแพ่งบังคับ
ศาลแพ่งมีคำสั่งบังคับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำสั่งศาลแพ่ง
โจทก์ฎีกาว่า สิทธิการเช่าตึกแถวของสำนักงานทรัพย์สินเป็ฯการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ชอบที่จะใช้มาตรา ๑๔๒ (๑) บังคับได้ ไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่
ศาลฎีกาเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาฎีกาโจทก์จำเลยรวมกันไป โดยวินิจฉัยฎีกาข้อ ๔ ของจำเลยก่อน ฎีกาข้อง ๔ มีใจความว่า สัญญาโอนสิทธิการเช่าที่โจทก์อ้างเป็นลักษณะกู้ยืมโดยผู้ให้กู้ยอมรับเอาสิทธิการเช่าตึงเป็นการชำระหนี้แทนเงินกู้ เป็นการขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรค ๓ เป็นโมฆะ
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยประเด็ฯข้อนี้ในที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาแล้ว เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรค ๒ ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินต้นและผู้ให้กู้ยินยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้เป็นอันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและสถานที่ส่งมอบความตกลงกันอย่างใด ๆ ขัดกับข้อความดังกล่าวมานี้ ท่านว่าเป็นโมฆะ”
ข้อความตามบทกฎหมายดังกล่าวนี้ การที่คู่สัญญากู้ยืมตกลงกันไว้ล่วงหน้ายอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมนั้น หนี้นั้นจะระงับต่อเมื่อได้ตกลงกันให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและสถานที่ส่งมอบ แต่กรณีนี้การโอนสิทธิการเช่า+ใช้หนี้นั้น คู่ความมิได้ตกลงในเรื่องที่ผู้ให้กู้จะยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นารชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมโดยคิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินในเวลาและสถานที่ส่งมอบ หากแต่มีข้อสัญญาเด็ดขาดทีเดียวว่า เมื่อจำเลยผู้กู้ไม่ใช้เงินก็ต้องโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ผู้ให้กู้ตามสัญญาทีเดียว โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าสิทธิแห่งการเช่านั้นมีราคาเท่าใด ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติว่า ข้อตกลงดังกล่าวนี้ขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๖ วรรค ๒ จึงเป็นโมฆะตามวรรค ๓ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๗๙/๒๔๙๗ระหว่างนายจู้ ศรีประพันธ์ โจทย์ นายตาด ศรีเปาระยะ จำเลย โจทย์
จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้โอนสิทธิการเช่าตามสัญญา ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์จำเลยข้ออื่นๆ ต่อไป
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็ฯว่า ให้จำเลยชำระต้นเงินกู้ ๔๒,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนที่ว่าถ้าจำเลยไม่สามารถชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ได้ ให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกตามฟ้องให้โจทก์นั้น ให้ยกเสีย.

Share