คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6690/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วด้วยการนำคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดยื่นต่อศาลภายในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำชี้ขาด เพียงแต่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองกลางจำหน่ายคดีเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง และขณะที่ศาลปกครองกลางจำหน่ายคดีเป็นเวลาที่กำหนดเวลาในการยื่นคำร้องขอต่อศาลตามมาตรา 40 วรรคสองของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ครบกำหนดไปแล้ว และการจำหน่ายคดีของศาลปกครองกลางก็เนื่องมาจากเหตุผลว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมมิได้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลปกครองกลางจึงเป็นคำสั่งอันเนื่องมาจากบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 การที่ผู้ร้องนำคดีมาร้องใหม่ภายในกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี จึงเป็นการนำคดีไปร้องเพื่อดำเนินคดีใหม่ต่อศาลที่มีเขตอำนาจ อันเนื่องจากการมีการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 13 วรรคสอง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม ในคดีข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 49/2550 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2550 ระหว่างบริษัท 2020 เวิลด์มีเดีย จำกัด ผู้เรียกร้อง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องในข้อแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้หรือไม่ โดยผู้ร้องประสงค์จะยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 บัญญัติให้ยื่นคำร้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำชี้ขาด ผู้ร้องได้รับสำเนาคำชี้ขาดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2550 ครบกำหนดยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดต่อศาลในวันที่ 1 ตุลาคม 2550 ในวันที่ 25 กันยายน 2550 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางขอให้เพิกถอนคำชี้ขาด แต่ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งในวันที่ 17 ตุลาคม 2550 ว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลปกครองกลาง ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2550 ผู้ร้องจึงนำคดีมาร้องเป็นคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น เห็นว่า ผู้ร้องได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วด้วยการนำคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดยื่นต่อศาลภายในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำชี้ขาด เพียงแต่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางและศาลปกครองกลางจำหน่ายคดีเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองและขณะที่ศาลปกครองกลางจำหน่ายคดีเป็นเวลาที่กำหนดเวลาในการยื่นคำร้องขอต่อศาลตามมาตรา 40 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ครบกำหนดไปแล้วและการจำหน่ายคดีของศาลปกครองกลางก็เนื่องมาจากเหตุผลว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมมิได้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลปกครองกลางจึงเป็นคำสั่งอันเนื่องมาจากบทบัญญัติในพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 การที่ผู้ร้องนำคดีมาร้องใหม่ภายในกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี จึงเป็นการนำคดีไปร้องเพื่อดำเนินคดีใหม่ต่อศาลที่มีเขตอำนาจ อันเนื่องจากการมีการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 13 วรรคสอง ที่ให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำร้องออกไปอีก 60 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งจำหน่ายคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องเพราะเหตุที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเกินกำหนด 90 วัน แล้วนั้นจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้ร้องในข้อนี้ฟังขึ้น สำหรับปัญหาว่า มีเหตุให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการหรือไม่ ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนลงไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย เห็นว่า คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาการเป็นผู้จัดจำหน่ายแก่ผู้คัดค้านเป็นเงิน 36,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2547 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ผู้ร้องอ้างว่าการกำหนดค่าเสียหายไม่ชอบด้วยเหตุผล ไม่มีหลักฐานอ้างอิง ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น ไม่ปรากฏว่าได้มีการรับมอบหนังสือจากผู้คัดค้าน เป็นการอ้างว่าดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายรวมทั้งการวินิจฉัยพยานหลักฐานไม่ชอบ อันเป็นการกล่าวอ้างโต้แย้งในเนื้อหาสาระของข้อเท็จจริง หาเป็นการต้องด้วยเงื่อนไขที่จะนำคดีมาร้องต่อศาลได้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 แต่อย่างใดไม่ ข้ออ้างลอย ๆ ของผู้ร้องว่าคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยเกินขอบเขตหรือไม่อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือการยอมรับหรือปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หาก่อผลให้ผู้ร้องมีอำนาจร้องเป็นคดีนี้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share