คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212มุ่งคุ้มครองจำเลยไม่ให้ต้องรับโทษหนักขึ้นถ้าโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนเป็นให้ปรับจำเลย 21,000 บาท อีกสถานหนึ่ง และลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปีและปรับ 14,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นั้น โทษที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นโทษที่เบากว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะลงโทษปรับด้วยก็ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6, 62, 106ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 32, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง,106 วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนและปรับ 21,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 14,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และวางเงื่อนไขคุมความประพฤติของจำเลยไว้โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ2 เดือนต่อครั้ง เป็นเวลา 1 ปี ในระหว่างคุมความประพฤติห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิด และห้ามคบหาสมาคมกับบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่ได้ลงโทษปรับ โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยด้วยเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 บัญญัติว่า “คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น” จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นจุดประสงค์ของกฎหมายว่ามุ่งคุ้มครองจำเลยไม่ให้ต้องรับโทษหนักขึ้นถ้าโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนเป็นให้ปรับจำเลย 21,000 บาท อีกสถานหนึ่ง และลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 14,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 นั้น โทษที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นโทษที่เบากว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะลงโทษปรับด้วย ก็ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
โจทก์ฎีกาข้อต่อไปขอให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปีโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลย เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจรอการลงโทษให้จำเลยและปรับจำเลยกับให้คุมความประพฤติจำเลยด้วยนั้นเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
พิพากษายืน

Share