แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์กระบะบรรทุกคนนั่งมาประมาณ 20 คนออกจากวัดถ้ำสิงโตทองมาจอดรอที่หน้าป้ายเชิญชวนของวัดรางม่วงแล้วจำเลยที่ 1นั่งรถยนต์กระบะอีกคันหนึ่งตามหลังมาโดยขับรถอ้อมมาจอดฝั่งตรงข้าม เมื่อจำเลยที่ 1 ยกมือเป็นสัญญาณ คนบนรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 2 ก็ลงจากรถเข้าไปล้มป้ายของวัดรางม่วงและกระทืบจนหลอดไฟแตกแล้วยกป้ายขึ้นรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 2 ขับรถเข้าไปวัดถ้ำสิงโตทองนั้น แสดงว่าเจตนาจำเลยทั้งสองแต่แรกต้องการทำลายให้แผ่นป้ายนั้นไร้ประโยชน์อันสืบเนื่องมาจากความไม่พอใจวัดรางม่วงที่โฆษณาชักชวนให้ชาวบ้านไปเที่ยวงานที่วัดรางม่วงเนื่องจากไฟฟ้าวัดถ้ำสิงโตทองดับถึง 2 ครั้ง การเอาไปซึ่งแผ่นป้ายดังกล่าวกระทำต่อเนื่องกับการทำลายแผ่นป้ายนั้นในวาระเดียวเกี่ยวพันกันโดยไม่ขาดตอนจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยมุ่งจะแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริงจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาจะเอาแผ่นป้ายดังกล่าวเป็นของตน หากแต่เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่หรือทำไปด้วยความคึกคะนองของพวกจำเลย มิใช่เกิดจากเจตนาทุจริตไม่ผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,83, 335, 336 ทวิ, 358 ริบรถยนต์ของกลางและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาป้ายเป็นเงิน 800 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดต่อส่วนตัว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ริบรถยนต์ของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาป้ายเป็นเงิน 800 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า วัดรางม่วงมีพระอธิการเจียน จกกธมโม เป็นเจ้าอาวาส ส่วนวัดถ้ำสิงโตทองมีจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาส วัดทั้งสองอยู่คนละฝั่งถนนห่างกันประมาณ 100 เมตร ในวันเกิดเหตุวัดรางม่วงจัดงานฝังลูกนิมิตร ส่วนวัดถ้ำสิงโตทองจัดงานปิดทอง โดยทั้งสองวัดต่างชักชวนให้ประชาชนไปเที่ยวงานและทำบุญ วัดรางม่วงทำป้ายไม้เขียนชักชวนให้ไปงานว่า “ไปอีกนิดถึงวัดรางม่วง” และรอบป้ายติดไฟนีออน 8 หลอด โดยติดตั้งป้ายดังกล่าวทางทิศตะวันออกของทางเข้าวัดถ้ำสิงโตทอง ในวันเกิดเหตุมีคนร้ายหลายคนมารื้อป้ายของวัดรางม่วง และทำหลอดไฟแตกหมดแล้วเอาป้ายไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่า ป้ายดังกล่าวเป็นของวัดรางม่วงจำเลยทั้งสองเอาป้ายไป โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่นำคืนให้จนบัดนี้ ทั้งจำเลยทั้งสองไม่นำสืบว่าเจตนาเอาแผ่นป้ายไปเพียงเพื่อไม่ให้ประชาชนรู้ว่าวัดรางม่วงอยู่ที่ใดไม่มีเจตนาทุจริต จำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดฐานลักทรัพย์ ก่อนจะวินิจฉัยปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกับพวกเป็นคนร้ายที่ร่วมกันมารื้อทำลายและเอาแผ่นป้ายของวัดรางม่วงไปหรือไม่ เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้แก้ฎีกาและปฏิเสธว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้คำแก้ฎีกาจึงเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเช่นกัน ศาลฎีกาเห็นว่าขณะเกิดเหตุแม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ก็มีแสงสว่างจากหลอดไฟนีออน 8 หลอด ที่ติดบริเวณแผ่นป้ายของวัดรางม่วง และมีไฟราวข้ามถนนบริเวณหน้าวัดถ้ำสิงโตทองพยานโจทก์คือนายวิณัตร์ หลุ่มบางล้า ซึ่งมีบ้านอยู่บริเวณปากทางเข้าวัดถ้ำสิงโตทอง ใกล้กับบ้านนายวินัยหรือฮวด ตีรถะ เห็นเหตุการณ์ห่างประมาณ 10 เมตร โดยยืนอยู่ใกล้เครื่องขยายเสียงของวัดรางม่วงข้างบ้านนายวินัย ขณะนั้นนางลำดวน ตีรถะ ภริยานายวินัยยืนอยู่หน้าเครื่องขยายเสียง โดยมีนายบุญเลิศ กลัดกลีบ เฝ้าเครื่องขยายเสียงอยู่ด้วย นายวิณัตร์และนางลำดวนจึงย่อมจะเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ชัดเจน เพราะไม่ห่างไกลจากที่เกิดเหตุนัก จำเลยทั้งสองอ้างว่าบริเวณที่เกิดเหตุมืดไม่มีหลอดไฟนีออนที่ป้ายของวัดรางม่วง ทั้งไฟราวข้ามถนนของวัดถ้ำสิงโตทองไม่สว่าง ไม่น่าเชื่อเพราะขณะนั้นทั้งวัดรางม่วงและวัดถ้ำสิงโตทองต่างก็จัดงานวัดเช่นกันและมีการโฆษณาชักชวนชาวบ้านไปเที่ยวทำบุญจึงน่าจะติดไฟฟ้าให้สว่าง นายวิณัตร์และนางลำดวนเป็นคนละแวกนั้นรู้จักจำเลยทั้งสองอย่างดีไม่น่าจะจำผิดพลาด แม้นางลำดวนจะต้องใช้แว่นตาตอนอ่านหนังสือแต่ก็มิได้มีสายตาผิดปกติจนมองไม่เห็นเหตุการณ์ หรือแม้พยานโจทก์ทั้งสองนี้จะจำคนอื่น ๆ ไม่ได้ก็น่าจะเป็นเพราะไม่สังเกตประกอบกับขณะนั้นมีคนพลุกพล่านแต่หลังเกิดเหตุแล้วนายวิณัตร์ก็ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปบอกพระอธิการเจียน จกกธมโม ส่วนนางลำดวนก็โทรศัพท์บอกนายวินัย ซึ่งเป็นกรรมการวัดรางม่วง พระอธิการเจียนและนายวินัยก็โทรศัพท์แจ้งพระครูอินทเขมาเจ้าคณะอำเภอจอมบึงให้ทราบทันทีซึ่งถ้าไม่เป็นความจริงก็ไม่น่าเชื่อว่านางลำดวนและนายวิณัตร์จะต้องทำเช่นนั้นนางลำดวนและนายวิณัตร์ก็ให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกันยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายจึงไม่ใช่ให้การโดยคาดคะเน นายบุญเลิศกลัดกลีบ ซึ่งเห็นเหตุการณ์ด้วย แม้จะมาให้การชั้นศาลต่างจากที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนก็ไม่ทำให้คำให้การของนายวิณัตร์ และนางลำดวนเสียไปแต่อย่างใด แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ามีความสนิทสนมกับพระอธิการเจียน ทั้งเคยเป็นประธานกรรมการโรงเรียนวัดรางม่วงและเคยให้ความช่วยเหลือถมดินวัดรางม่วงคงไม่กระทำผิดซึ่งแม้แต่พระอธิการเจียนก็เบิกความว่านึกไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ใช่คนร้าย จำเลยที่ 1 อาจไม่พอใจที่ไฟฟ้าที่วัดถ้ำสิงโตทองดับ ทั้งโฆษณาวัดรางม่วงประกาศชักชวนให้ชาวบ้านเลยไปวัดรางม่วง ทั้ง ๆ ที่เครื่องขยายเสียงก็ตั้งอยู่ที่หน้าวัดถ้ำสิงโตทอง ทั้งวัดถ้ำสิงโตทองก็เป็นวัดใหญ่กว่า มีพระภิกษุมากกว่าเคยช่วยเหลือวัดรางม่วงจึงได้กระทำผิดขึ้นได้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันมารื้อทำลายแผ่นป้ายดังฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้ไปเดินเผชิญสืบตามคำขอของจำเลยทั้งสองก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปคำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์กระบะบรรทุกคนนั่งมาประมาณ 20 คน ออกจากวัดถ้ำสิงโตทองมาจอดรอที่หน้าป้ายเชิญชวนของวัดรางม่วง แล้วจำเลยที่ 1นั่งรถยนต์กระบะอีกคันหนึ่งตามหลังมาแล้วขับรถอ้อมมาจอดฝั่งตรงข้าม จำเลยที่ 1 ยกมือเป็นสัญญาณ คนบนรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 2 จึงได้ลงจากรถเข้าไปล้มป้ายของวัดรางม่วงและกระทืบจนหลอดไฟแตกแล้วยกป้ายขึ้นรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 2 แล้วขับรถเข้าไปวัดถ้ำสิงโตทองนั้น แสดงว่าเจตนาจำเลยทั้งสองแต่แรกต้องการทำลายให้แผ่นป้ายนั้นไร้ประโยชน์ สาเหตุที่ทำลายแผ่นป้ายดังกล่าวก็เนื่องมาจากความไม่พอใจวัดรางม่วงที่โฆษณาชักชวนให้ชาวบ้านไปเที่ยวงานที่วัดรางม่วงเนื่องจากไฟฟ้าวัดถ้ำสิงโตทองดับถึง 2 ครั้ง การเอาไปซึ่งแผ่นป้ายดังกล่าวกระทำต่อเนื่องกับการทำลายแผ่นป้ายนั้นในวาระเดียวกันเกี่ยวพันกันโดยไม่ขาดตอน จึงมิใช่เป็นการกระทำโดยมุ่งจะแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริง มิใช่ว่าจำเลยทั้งสองเจตนาจะเอาแผ่นป้ายดังกล่าวเป็นของตนหากแต่เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่หรือทำไปด้วยความคึกคะนองของพวกจำเลย จึงมิใช่เกิดจากเจตนาทุจริต ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน