แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจเป็นฎีกาใน ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 126,464.59 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 89,955.13 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 57,027.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 38,821.22 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้ยกคำร้องขอ จำเลยที่ 1 โต้แย้งคำสั่งนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 38,821.22 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่ วันที่ 27 ตุลาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ชำระเงิน 115,862.21 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 89,955.13 บาท นับตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2538 จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และคำขออื่น
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน 183,492.43 บาท ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม บทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยที่ 1 มา จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.