คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า “อุตสาหกรรม”ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ให้คำนิยามไว้ว่า คือการทำสิ่งของเพื่อให้เป็นสินค้า และคำว่า “สินค้า” ก็ให้นิยามว่า สิ่งของที่ซื้อขายกันคำว่า อุตสาหกรรม จึงมีความหมายว่าการทำสิ่งของเพื่อขาย การที่จำเลยปลูกสร้างบ้านพักขึ้นเพื่อให้เช่าใช่เจตนาสร้างขึ้นเพื่อขายมาแต่แรก ต่อมาเมื่อเลิกการเช่าแล้วจึงได้ขายต่อไป เช่นนี้ จึงหาใช่เป็นการกระทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยไม่ โจทก์ฟ้องเกิน 2 ปี คดีจึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อไม้แปรูปและสิ่งของต่าง ๆ ไปจากโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๘๒,๔๒๑ บาท ๑๔ สตางค์ เพื่อนำไปประกอบเป็นเรือนพักตากอากาศให้เช่าและขายเป็นหลัง ๆ รวม ๑๖ หลังค้าหากำไร จำเลยชำระเงินให้โจทก์ ๒ ครั้งรวม ๒๘๐,๐๐๐ บาท จำเลยคืนสิ่งของที่ซื้อแบ่งไปบางอย่าง และได้ส่วนลดรวม ๒๙,๐๑๐ บาท ๔๕ สตางค์ เหลือหนี้ค้างชำระอยู่ ๒๗๓,๔๑๐ บาท ๖๙ สตางค์ โจทก์ทวงถามจำเลยไม่ชำระ ขอศาลบังคับจำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องเกินกว่า ๒ ปี นับแต่วันส่งมอบของและนับแต่วันผ่อนชำระเงินครั้งสุดท้ายก็เกินกว่า ๒ ปีเช่นเดียวกัน
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยซื้อไม้แปรรูปและสิ่งของต่าง ๆ ไปจากโจทก์เพื่อประกอบเป็นเรือนพักตากอากาศให้เช่า และขายเป็นหลัก ๆ นั้นมิใช่เป็นการประกอบการอุตสาหกรรมตามมาตรา ๑๖๕(๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีโจทก์จึงมีอายุความเพียง ๒ ปี เมื่อนับจากวันขายสินค้าครั้งสุดท้ายให้จำเลยหรือนับจากวันจำเลยชำระเงินครั้งสุดท้ายให้โจทก์จนถึงวันฟ้องก็เกิน ๒ ปีทั้งสองประการ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏในสำนวนยังไม่พอที่จะชี้ขาดว่า จำเลยทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าคดีขาดอายคุความไม่ถูกต้องและคดีมีประเด็นที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่อีก พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยปลูกเรือนทั้ง ๑๖ หลังมีเจตนาครั้งแรกเพื่อให้เช่า มิใช่เพื่อขาย แม้จะให้เช่าได้เพียง ๒ ปี ภายหลังจึงขายไปทั้งหมดก็ถือว่าไม่ใช่กระทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยโจทก์ฟ้องเกิน ๒ ปี คดีจึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อไม้ไปประกอบเป็นเรือนพักตากอากาศให้เช่าและขายเป็นหลัง ๆ รวม ๑๖ หลังค้าหากำไรและมีผู้เช่าผู้ซื้อจากจำเลยแล้ว ถือได้ว่าเป็นการที่จำเลยได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลย มีอายคุวาม ๕ ปี จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ ต้องถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่นทั้งข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่า จำเลยสร้างบ้านตากอากาศขึ้นเพื่อขายเอากำไร อันถือได้ว่าเป็นการประกอบอุตสาหกรรม คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การปลูกสร้างบ้านพัก ๑๖ หลังมิใช่เพื่อการอุตสาหกรรมของจำเลย จำเลยต่อสู้ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกิน ๒ ปี แม้จำเลยจะมิได้ระบุว่าการกระทำของจำเลยมิใช่เพื่ออุตสาหกรรมอันจะใช้อายุความ ๕ ปีก็ตาม แต่ก็เป็นภาระของโจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าคดีของตนไม่ขาดอายุความ และจำเลยมีสิทธินำสืบหักล้างได้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดในชั้นแรกแล้วว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์จะรับฟังเป็นยุติว่า การที่จำเลยซื้อของเชื่อไปจากโจทก์เป็นการทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยยังไม่ได้ ต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานกันต่อไป คู่ความไม่ฎีกา ปัญหาข้อนี้เป็นอันถึงที่สุด โจทก์จึงไม่อาจรื้อฟื้นยกขึ้นกล่าวอ้างไม่ได้ การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า คดีของโจทก์มีอายุความ ๒ ปีก็เท่ากับเป็นการต่อสู้ว่า การซื้อของเชื่อของจำเลยมิใช่เป็นการทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยนั่นเอง โจทก์จึงต้องนำสืบว่า คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ และจำเลยย่อมนำสืบหักล้างได้ว่าคดีขาดอายุความแล้วดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ปัญหาต่อไปมีว่า การที่จำเลยปลูกสร้างบ้านพัก ๑๖ หลัง เป็นการกระทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยมีที่ดินริมทะเลที่หาดวงพระจันทร์ จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๗ ไร่เศษ พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๖ จำเลยได้ซื้อเชื่อไม้แปรรูปและสิ่งของต่าง ๆ ของโจทก์ไปปลูกเรือนพักตากอากาศขึ้น ๒ หลังในที่ดินแปลงนั้น ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๗ บริษัทไทยออยล์ได้ให้จำเลยปลูกบ้านพักขึ้นอีก ๑๔ หลัง เพื่อให้พนักงานของบริษัทซึ่งมาก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันเช่าอยู่จำเลยจึงซื้อไม้แปรรูปและสิ่งของต่าง ๆ ไปจากโจทก์อีก จำเลยได้ชำระค่าไม้แปรรูปและสิ่งของให้โจทก์แล้วบางส่วน คงค้างชำระอีก ๒๕๕,๘๑๐ บาท ๖๙ สตางค์ พนักงานของบริษัทไทยออยล์เช่าอยู่ ๒-๓ ปี การก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันเสร็จ บริษัทเลิกเช่าบ้านพักของจำเลย จำเลยจึงได้ขายที่ดินและบ้านพักทั้งหมดให้นายสมัย ชินะผาไปได้กำไรประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาทเศษ เห็นว่าการที่จำเลยปลูกบ้านพักขึ้นเพื่อให้เช่า เมื่อเลิกการเช่าแล้วจึงได้ขายต่อไป เช่นนี้ หาใช่เป็นการกระทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยไม่เพราะตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ให้คำนิยมคำว่า “อุตสาหกรรม”คือการทำสิ่งของเพื่อให้เป็นสินค้า และคำว่า “สินค้า” ก็ให้นิยามว่า สิ่งของที่ซื้อขายกันดังนั้นคำว่า อุตสาหกรรม จึงมีความหมายว่าการทำสิ่งของเพื่อขายตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๐๘/๒๕๑๓ ระหว่างนายเฮียงตัง แซ่แต้ โจทก์ บริษัทโกร๊ก จำกัด จำเลย การที่จำเลยขายบ้านพักไปหลักจากผู้เช่าบอกเลิกการเช่าดังกรณีนี้ ไม่พอรับฟังว่า จำเลยเจตนาสร้างบ้านพักขึ้น เพื่อขายมาแต่แรกหากแต่น่าเป็นเพราะจำเลยไม่อาจดูแลรักษาได้ เนื่องจากบ้านของจำเลยอยู่ในกรุงเทพฯ ดังที่จำเลยนำสืบ เมื่อฟังว่าการที่จำเลยซื้อไม้แปรรูปและสิ่งของไปจากโจทก์มิใช่เป็นการกระทำเพื่ออุตสาหกรรมของจำเลยไม่ โจทก์ฟ้องเกิน ๒ ปี คดีจึงขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share