แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาเรื่องบุกรุก เพียงแต่จำเลยต่อสู้อ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยครอบครองแต่ผู้เดียวตลอดมา ถึงแม้เป็นที่ดินมือเปล่า จะถือว่าเป็นเรื่องพิพาทกันในทางแพ่งไม่มีมูลความผิดทางอาญาเสียเลยทีเดียวไม่ได้ ศาลต้องพิจารณาจากพยานโจทก์และพยานจำเลยเสียก่อนว่า ข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้หรือไม่ว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย เมื่อยังไม่ได้วินิจฉัยจึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในสวนยางและสวนมะม่วงของผู้เสียหายเพื่อครอบครองที่ดิน และตัดฟันต้นยางและต้นมะม่วง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกรอไว้ 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องนี้ เมื่อผู้เสียหายกับจำเลยต่างอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน และที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า กรณีเป็นเรื่องพิพาทกันในทางแพ่ง เพราะยังฟังเป็นยุติไม่ได้ ดังนี้ จึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีบุกรุก เพียงแต่จำเลยต่อสู้อ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โดยครอบครองแต่ผู้เดียวตลอดมา ถึงแม้จะเป็นที่ดินมือเปล่า จะถือว่าเป็นเรื่องพิพาทกันในทางแพ่ง ไม่มีมูลความผิดทางอาญาเสียเลยทีเดียวยังไม่ได้ศาลจะต้องพิจารณาจากพยานโจทก์และพยานจำเลยเสียก่อนว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้หรือไม่ว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย จึงยังไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และให้ย้อนสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี