คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6673/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้การที่จำเลยแจ้งแก่ ช.และสิบตำรวจตรีท. ว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไป แต่เป็นคนช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของจำเลยก็ตาม แต่คำบอกเล่าของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวร้ายเสียประโยชน์และไม่เป็นคุณแก่ตน ย่อมมีน้ำหนักที่จะรับฟังประกอบพฤติการณ์แวดล้อมอื่นได้การที่จำเลยนำสิบตำรวจตรีท.ไปจับกุมส.แล้วต่อมาส. ให้การรับสารภาพและศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วพฤติการณ์ที่จำเลยเดินใกล้ที่เกิดเหตุและรับว่าช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ไปจากที่เกิดเหตุ ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับส. ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334, 335(2)(7), 336 ทวิ, 83 ให้จำเลยร่วมกับนายสมหวังคืนหรือใช้ราคาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 7,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(2)(7) ประกอบมาตรา 83จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 806/2537 ของศาลชั้นต้น คืนหรือใช้ราคาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 7,000 บาท แก่ผู้เสียหายข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายสมหวัง บุญธรรมวัฒน์ จำเลยที่ 1ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 806/2537 ของศาลชั้นต้น ลักเอาเครื่องรับโทรทัศน์ของนายธรรมนูญ แก้วอบเชย ผู้เสียหายที่อยู่ในรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 30-2740 กรุงเทพมหานครซึ่งประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำอยู่ริมถนนไปโดยทุจริต
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับนายสมหวังลักทรัพย์ผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่โจทก์มีนายสมชาติ ตั้งเจริญพูลผล เป็นพยานเบิกความว่าพยานมีอาชีพรับจ้างยกรถที่ประสบอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 เวลาประมาณ 5 นาฬิกา พยานรับแจ้งจากเจ้าพนักงานตำรวจว่ามีรถยนต์โดยสารตกเหว จึงนำรถยกไปที่เกิดเหตุและนำลวดไปผูกเพื่อจะลากรถยนต์โดยสารขึ้นมาแต่ลวดขาดจึงให้เด็กรถกลับไปบ้านนำรถยกคันใหม่มา ขณะที่พยานนั่งเฝ้ารถยนต์โดยสารอยู่เวลาประมาณ 9 นาฬิกาได้พบผู้หญิงประมาณ 4 ถึง 5 คน บอกพยานว่ามีคนขโมยเครื่องรับโทรทัศน์ในรถยนต์โดยสาร พยานจึงเดินไปดูบริเวณที่รถยนต์โดยสารพลิกคว่ำ ขณะนั้นยังมีคนอยู่บริเวณดังกล่าวพยานจึงพูดขึ้นลอย ๆ ว่า “อย่ามาเอาของเขาไปเนื่องจากร้อยเวรได้ถ่ายรูปไว้แล้ว” สักครู่หนึ่งจึงมีจำเลยและชายอีกคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากจุดเกิดเหตุ แล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปทางบริเวณอำเภอปักธงชัย สักครู่กลับมาหาพยานอีกและพูดว่า”สักครู่มีคนเอาเงินมาให้ 100 บาท หรือไม่” พยานตอบว่าไม่รู้เรื่องแล้วจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์ขึ้นภูเขาไปทางบริเวณอำเภอปักธงชัย และกลับมาหาพยานอีกแล้วถามว่า “เขาเอาเงินของผมไป 300 บาท ผมจะมาเอาเงินของผมคืน” พยานไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาเงินของจำเลยไป พยานได้บอกกับจำเลยว่า “หากเอาของเขาไปก็เอามาคืนซะเนื่องจากเขาถ่ายรูปไว้แล้ว” จำเลยบอกว่าไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไปแต่เป็นคนช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาเท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์ไป พยานจำเลยหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับได้คือ หมายเลขทะเบียน บุรีรัมย์ ฉ-5516 จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบ และสิบตำรวจตรีเทพจักร สังข์ศิริ เบิกความสนับสนุนว่าขณะที่พยานออกตรวจบริเวณถนนสาย 304 พบรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน บุรีรัมย์ ฉ-5516 จอดอยู่ข้างทางซึ่งหมายเลขทะเบียนตรงกับที่รับแจ้งว่าเป็นรถจักรยานยนต์ของคนร้ายที่ลักเครื่องรับโทรทัศน์จึงทำการจับกุมจำเลย ขณะที่นำจำเลยไปที่สถานีตำรวจ จำเลยบอกว่านายสมหวังเป็นคนลักไป โดยจำเลยเป็นผู้ช่วยงัดเอาเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาจากรถยนต์โดยสารจำเลยได้พาพยานไปชี้ที่ซึ่งนายสมหวังหลบซ่อนอยู่ พยานได้ทำการจับกุมนายสมหวังแล้วแจ้งข้อหาว่าจำเลยกับนายสมหวังร่วมกันลักทรัพย์ผู้อื่นจำเลยและนายสมหวังให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 เห็นว่า พยานทั้งสองไม่เคยรู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเบิกความสอดคล้องตรงกันน่าเชื่อว่าเบิกความตามความเป็นจริงแม้จำเลยจะบอกพยานทั้งสองว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไปแต่เป็นคนช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงคำบอกเล่าของจำเลย แต่คำบอกเล่าของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวร้ายเสียประโยชน์และไม่เป็นคุณแก่ตน มีน้ำหนักที่จะรับฟังประกอบพฤติการณ์แวดล้อมอื่นได้ และการที่จำเลยนำสิบตำรวจตรีเทพจักรไปจับกุมนายสมหวังแล้วต่อมานายสมหวังให้การรับสารภาพและศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว พฤติการณ์ที่จำเลยเดินใกล้ที่เกิดเหตุและรับว่าช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ไปจากที่เกิดเหตุ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยร่วมกับนายสมหวังลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมโดยไม่ทราบข้อความนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้ร่วมกับนายสมหวังลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง
พิพากษากลับ

Share