คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทซึ่งได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้อง โจทก์ทั้งสามขอให้จำเลยทั้งสาม ไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ตามส่วนสัดที่แต่ละฝ่ายได้ครอบครองแล้ว จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไปทำการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้แก่ โจทก์ทั้งสามครึ่งหนึ่งจำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมที่ดินพิพาท เป็นกรรมสิทธิ์รวมของ ม. และส. ซึ่งได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดมานาน 40 ปี แล้ว โดย ม. ครอบครองปลูกสร้างอยู่ทางทิศตะวันตกและส.ครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่ทางทิศตะวันออกต่อมาโจทก์ทั้งสามได้ครอบครองที่ดินส่วนของ ม.ส่วนจำเลยทั้งสามได้ครอบครองที่ดินส่วนของ ส. เห็นได้ว่าคำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวมิได้ระบุว่าโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดจำนวนเนื้อที่ฝ่ายละเท่าใด เพื่อเป็นการปฏิเสธว่าข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสามที่ว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งนั้นไม่ถูกต้องอย่างไรจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาทแม้จำเลยทั้งสามจะได้แถลงต่อศาลชั้นต้น ไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาถึงส่วนสัดของที่ดินที่จำเลยทั้งสาม ได้ครอบครองก็ตาม คำแถลงดังกล่าวก็มิใช่คำให้การไม่ก่อ ให้เกิดประเด็นพิพาทเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3697 มีชื่อโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามครอบครองร่วมกัน โดยแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัด ส่วนที่ดินของโจทก์ทั้งสามอยู่ทางทิศใต้ เนื้อที่2 ไร่ 8 ตารางวา และส่วนของจำเลยทั้งสามอยู่ทางทิศเหนือเนื้อที่ 2 ไร่ 8 ตารางวา โจทก์ทั้งสามประสงค์จะแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวตามส่วนที่มีและครอบครองอยู่แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไปทำการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามทางด้านทิศใต้เป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 8 ตารางวา หากจำเลยทั้งสามไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม หากแบ่งแยกที่ดินไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งปันกันตามส่วนและให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมที่ดินตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมี นาคเส็งและนางสี เปาะช้าง ซึ่งบุคคลทั้งสองได้แบ่งแยกการครอบครองกันเป็นส่วนสัดมานาน 40 ปี โดยนางมีครอบครองปลูกบ้านอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนนางสีครอบครองปลูกบ้านอยู่ทางทิศตะวันออก บุคคลทั้งสองได้ปลูกไม้ยืนต้นและล้อมรั้วเป็นแนวเขตยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ และนางสีได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรสะใภ้เข้าปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินส่วนของตนจนถึงปัจจุบัน ต่อมานางสีถึงแก่ความตาย ที่ดินส่วนของนางสีจึงเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และนางทองหยิบ เปาะช้าง ผู้เป็นบุตรและได้แบ่งการครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด ในปี 2530 นางทองหยิบได้ขายที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 2 ส่วนนางมีได้อนุญาตให้โจทก์ที่ 2 กับสามีปลูกบ้านอยู่ทางทิศใต้ อนุญาตให้โจทก์ที่ 1ปลูกบ้านอยู่ทางทิศเหนือและให้โจทก์ที่ 3 อาศัยอยู่กับนางมีในปี 2530 นางมียกที่ดินของตนให้แก่นายสวัสดิ์ นาคเส็งกับโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ต่อมาเมื่อนายสวัสดิ์ถึงแก่ความตายที่ดินส่วนของนายสวัสดิ์เป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 2 ก่อนตายนายสวัสดิ์กับโจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยทั้งสามเคยร่วมกันยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 3697 ไว้ เมื่อโจทก์ที่ 2รับมรดกนายสวัสดิ์แล้วได้นำช่างไปทำการรังวัด แต่ตกลงกันไม่ได้เพราะโจทก์ทั้งสามนำรังวัดข้ามรั้วรุกล้ำจะเอาที่ดินทางทิศใต้ของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสามได้คัดค้านไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3697 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี ให้แก่โจทก์ทั้งสามครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถตกลงกันได้ ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ขายได้มาแบ่งตามส่วนเท่ากัน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีนี้แม้จำเลยทั้งสามจะแถลงต่อศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2539ว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่3697 ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ฝ่ายละครึ่งก็ตาม แต่จำเลยทั้งสามได้แถลงต่อไปว่าจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองเนื้อที่ประมาณ3 ไร่ 1 งาน ตามแผนที่พิพาทที่จ่าศาลชั้นต้นได้ทำขึ้น ซึ่งแสดงว่าจำเลยทั้งสามได้แสดงส่วนสัดของการครอบครองที่ดินดังกล่าวไว้โดยชัดเจนตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การแล้ว ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทและดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3697ซึ่งได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ทั้งสามขอให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ตามส่วนสัดที่แต่ละฝ่ายได้ครอบครองแล้ว จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไปทำการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสามครึ่งหนึ่ง จำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 3697 เป็นกรรมสิทธิ์รวมของนางมี นาคเส็ง และนางสี เปาะช้าง ซึ่งได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดมานาน 40 ปี แล้วโดยนางมีครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่ทางทิศตะวันตกและนางสีครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่ทางทิศตะวันออก บุคคลทั้งสองได้ปลูกไม้ยืนต้นและล้อมรั้วเป็นแนวเขตยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ต่อมาโจทก์ทั้งสามได้ครอบครองที่ดินส่วนของนางมี ส่วนจำเลยทั้งสามได้ครอบครองที่ดินส่วนของนางสี ซึ่งคำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวมิได้ระบุว่าโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามแบ่งแยกการครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 3697 เป็นส่วนสัดจำนวนเนื้อที่ฝ่ายละเท่าใด เพื่อเป็นการปฏิเสธว่าข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสามที่ว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งนั้นไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาท แม้จำเลยทั้งสามจะได้แถลงต่อศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2539ถึงส่วนสัดของที่ดินที่จำเลยทั้งสามได้ครอบครองก็ตาม คำแถลงดังกล่าวก็มิใช่คำให้การไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาทเช่นกันคดีไม่จำต้องสืบพยานศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้วฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share