แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมและใช้ใบสมัครกับใบเสร็จรับเงินปลอม 33 ฉบับ ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องโดยยกเลิกใบสมัครและใบเสร็จรับเงินที่หาว่าจำเลยปลอม 4 ฉบับ แล้วต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องโดยขอเพิ่มใบเสร็จรับเงินที่หาว่าจำเลยปลอมและใช้อีก 4 ฉบับ จำนวนเอกสารที่โจทก์ฟ้องจึงคงมีเท่าเดิมคือ 33 ฉบับ ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมรวม 33 ฉบับจึงมิได้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
แม้จำเลยจะปลอมและใช้ใบสมัครปลอมในวันเดียวกับใบเสร็จรับเงินก็ตาม แต่ก็เป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอมคนละประเภท คือ ใบสมัครเป็นจำนวนเงินค่าสมัครสอบ ส่วนใบเสร็จรับเงินเป็นเงินชำระตามรายการอื่น ทั้งจำนวนเงินที่ชำระก็ต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรมหาใช่กรรมเดียวกันไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียนสอนตัดเสื้อ จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ทำงานในตำแหน่งแคชเชียร์และประชาสัมพันธ์จำเลยปลอมใบสมัครสอบอันเป็นเอกสารสำคัญ และปลอมใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารสิทธิ และอ้างหรือใช้ใบสมัครและใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารปลอมที่จำเลยทำขึ้น เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔,๒๖๕,๒๖๘,๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
เดิมจำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยขอถอนคำให้การเดิม รับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ และ ๒๖๘ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๖๘ จำคุกรวม ๒๙ กระทง ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยปลอมและใช้ใบสมัครปลอม ๒๐ ฉบับ กับปลอมและใช้ใบเสร็จรับเงินปลอมอีก ๑๓ ฉบับ รวมเป็นเอกสารสิทธิที่ฟ้องหาว่าจำเลยปลอมและใช้ทั้งสิ้น ๓๓ ฉบับ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๒๔ ขอแก้ฟ้อง โดยยกเลิกใบสมัครและใบเสร็จรับเงินที่หาว่าจำเลยปลอมและใช้ ๔ ฉบับ ครั้นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๕ โจทก์ขอแก้ฟ้องโดยขอเพิ่มใบเสร็จรับเงินที่กล่าวหาว่าจำเลยปลอมและใช้อีก ๔ ฉบับ จำนวนเอกสารที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยปลอมและใช้จึงคงมีเท่าเดิมคือ ๓๓ ฉบับ ดังนั้น คำพิพากษาของศาลล่างในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเอกสารที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยปลอมและใช้จึงมิได้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
แม้จำเลยจะปลอมและใช้ใบสมัครในวันเดียวกับใบเสร็จรับเงินแต่ก็เป็นการปลอมและใช้เอกสารคนละประเภท กล่าวคือ สำหรับใบสมัครนั้นสำหรับจำนวนเงินที่นักเรียนชำระเป็นค่าสมัครสอบ ส่วนเงินที่นักเรียนชำระตามใบเสร็จนั้นเป็นเงินชำระตามรายการอื่น และจำนวนเงินที่ชำระก็ต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรม หาใช่กรรมเดียวกันไม่
พิพากษายืน.