คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6663/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดิน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ มิใช่เป็นการบังคับคดีที่ต้องดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. และไม่มีกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอต่อศาลเพื่อให้ออกหมายบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์จึงไม่ถูกต้อง แต่การเพิกถอนรายการจดทะเบียนขายที่ดินตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าว เป็นกรณีที่ได้มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่ง ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีหรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินมีอำนาจหน้าที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขได้ และตามวรรคแปดของบทบัญญัติเดียวกัน บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” ดังนั้น การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลที่ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดินนั้น โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ก็ต่อเมื่อคำพิพากษานั้นถึงที่สุดเป็นต้นไป และที่ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด ก็ย่อมมีความหมายว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดทั้งคดี เมื่อนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลาสิบปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์จึงยังมีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2537 ออกจากสารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดินเลขที่ 41216 และเลขที่ 41217 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 41216 และให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 41217 ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ
วันที่ 10 มกราคม 2545 จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตพร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาวันที่ 29 กรกฎาคม 2545 เมื่อถึงวันนัดไต่สวนศาลชั้นต้นให้งดการไต่สวนไว้เพื่อรอฟังผลคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมตามคดีหมายเลขดำที่ 3168/2542 หมายเลขแดงที่ 3271/2545 ของศาลแขวงธนบุรี ถึงที่สุด เมื่อคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 ศาลชั้นต้นนัดพร้อมโจทก์และทนายจำเลยที่ 1 แถลงว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3271/2545 ถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้เลื่อนไปนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2545 และรับคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฉบับ ลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 แล้วศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องดังกล่าวและมีคำสั่งยกคำร้อง เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายใน 15 วัน จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2555 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง หากจำเลยที่ 1 ยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้
วันที่ 8 สิงหาคม 2555 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นออกคำบังคับและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2555 และวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 เป็นการไม่ชอบ เพราะโจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีได้ภายในสิบปี คือ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 และคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่สุด โดยจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้จัดการให้ตามคำขอออกคำบังคับและหมายบังคับคดี ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีกับยกคำขอดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า มีเหตุให้เพิกถอนคำบังคับและหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การขอให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2537 ออกจากสารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดินเลขที่ 41216 และเลขที่ 41217 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 41216 และให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 41217 ให้แก่โจทก์ มิใช่เป็นการบังคับคดีที่ต้องดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และไม่มีกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอต่อศาลเพื่อให้ออกหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์จึงไม่ถูกต้อง แต่การเพิกถอนรายการจดทะเบียนขายที่ดินตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าว เป็นกรณีที่ได้มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีหรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินมีอำนาจหน้าที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขได้ และตามวรรคแปดของบทบัญญัติเดียวกัน บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” ดังนั้น การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลที่ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดินนั้น โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ก็ต่อเมื่อคำพิพากษานั้นถึงที่สุดเป็นต้นไป และที่ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด ก็ย่อมมีความหมายว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดทั้งคดี เมื่อนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลาสิบปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์จึงยังมีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีได้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ออกคำบังคับชอบแล้ว แต่เมื่อการออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนเสียได้ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนหมายบังคับคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share