คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11316/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนักประพันธ์เพลงโดยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานเพลง สิ่งบันทึกเสียงหรือต้นฉบับเพลง 52 เพลง จำเลยทั้งห้าละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์โดยนำสิ่งบันทึกเสียงหรือต้นฉบับเพลงดังกล่าวไปให้ผู้อื่นเช่าและใช้ประโยชน์ ทำซ้ำ ดัดแปลงและเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อการค้าและหากำไรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์และเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานบันทึกเสียงเพลงหรือต้นฉบับเพลง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย เพลงดังกล่าวจัดทำมาสเตอร์เทปหรือต้นแบบแถบบันทึกเสียงเพลงขึ้นโดยเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของมาสเตอร์เทปหรือต้นแบบแถบบันทึกเสียงเพลงดังกล่าว คดีจึงไม่มีประเด็นถึงเรื่องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในคำร้องและทำนองเพลง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยถึงประเด็นว่า โจทก์ได้โอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงซึ่งก็คือคำร้องหรือทำนองเพลงให้แก่จำเลยทั้งห้าหรือไม่ด้วยนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำฟ้องอันเป็นการไม่ชอบ แม้โจทก์จะอุทธรณ์ประเด็นนี้ขึ้นมาด้วย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศก็ไม่อาจรับวินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์เพลงจำนวน 24 เพลง ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 4,800,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์เพลงจำนวน 1 เพลง ชำระเงินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์เพลงจำนวน 3 เพลง ชำระเงินจำนวน 600,000 บาทแก่โจทก์และจำเลยที่ 5 ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์เพลงจำนวน 24 เพลง ชำระเงินจำนวน 4,800,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 5 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่าลิขสิทธิ์ในสิ่งบันทึกเสียงหรือมาสเตอร์เทปหรือต้นแบบแถบบันทึกเสียงเพลงพิพาทในคดีนี้เป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งห้า โจทก์ส่งบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของโจทก์ลงวันที่ 7 มกราคม 2551 เป็นพยานและมาเบิกความรับรองบันทึกดังกล่าวแล้วเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า โจทก์เคยฟ้องผู้เช่ามาสเตอร์เทปจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีอาญา ตามสำเนาคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.5310/2548 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ระหว่างนายกวีวรรษโจทก์ บริษัทบางกอกคาสเสท จำกัด ที่ 1 นายกิติชัยที่ 2 จำเลย เรื่องความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ เอกสารหมาย ล.22 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง มีคำวินิจฉัยว่า มาสเตอร์เทปเพลงทั้ง 52 เพลง ซึ่งคือเพลงพิพาทในคดีนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ในคดีนี้เป็นเจ้าของและโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 5 ว่าโจทก์เคยเป็นพยานในคดีที่นายสุเทพเป็นโจทก์ฟ้องบริษัทบางกอกคาสเสท จำกัดตามสำเนาคำให้การพยานโจทก์เอกสารหมาย ล.23 ซึ่งโจทก์ให้การในหน้า 2 ว่า “สมัยก่อนไม่มีการทำสัญญา มีแต่การเซ็นรับเงินว่าทำงานเสร็จแล้วก็จ่ายเงินตอบแทน” ให้การในหน้า 3 ว่า “ไม่เคยขายลิขสิทธิ์แต่ขายสิทธิ์ที่เป็นสิ่งบันทึกเสียง” และหน้า 4 ว่า “จำเลยที่ 1 (กมลสุโกศล) เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในมาสเตอร์เทป” มาสเตอร์เทปที่ยังไม่ได้บันทึกเสียงเพลงลงแผ่นเสียงนั้นเป็นของผู้บันทึกเสียง แต่เมื่อนำมาสเตอร์เทปไปบันทึกเสียงเพลงลงแผ่นเสียงแล้ว โจทก์จะฝากมาสเตอร์เทปไว้แต่ไม่มีค่ารับฝาก และไม่มีสัญญารับฝากทรัพย์ เพลงทั้ง 52 เพลง โจทก์ไม่มีส่วนในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ระหว่างที่โจทก์ฝากมาสเตอร์เทปไว้กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 5 นั้น โจทก์ไม่เคยไปดูมาสเตอร์เทปเลย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 จนถึงก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่เคยโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 5 เพราะโจทก์ไม่ทราบ เห็นว่า จากคำเบิกความของโจทก์ที่เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 5 ดังกล่าวมาทั้งหมดไม่มีน้ำหนักที่จะฟังว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิ่งบันทึกเสียงหรือมาสเตอร์เทปหรือต้นแบบแถบบันทึกเสียงเพลงพิพาทในคดีนี้หรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในสิ่งบันทึกเสียงพิพาท
เมื่อเพลงที่อัดเสียงตามเอกสารท้ายฟ้องอันดับที่ 1 ถึง 24 เกิดขึ้นจากมาสเตอร์เทปผลงานสร้างสรรค์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยมิได้จัดทำดนตรีขึ้นใหม่ให้แตกต่างจากมาสเตอร์เทป ดังนั้นการนำมาสเตอร์เทปออกให้ผู้อื่นเช่าจึงไม่ได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายในคดีนี้เพราะโจทก์ยังสามารถนำบทเพลงไปขายให้ผู้อื่นได้ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์แต่งเพลงพิพาทแล้วนำไปขายให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกผู้ทำธุรกิจเพลง มีนางสาวเลียบเป็นประจักษ์พยาน บันทึกถ้อยคำของนางสาวเลียบ แสดงเหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับโจทก์ผู้แต่งเพลงพิพาทตามความเป็นจริง ขณะจะทำการบันทึกเสียงหรือทำมาสเตอร์เทปเพลงพิพาท โจทก์เป็นเพียงผู้ที่แต่งเพลง (คำร้องหรือทั้งคำร้องและทำนอง) แล้วนำมาเสนอขายให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็คัดเลือกรับซื้อมาทำการบันทึกเสียง แม้โจทก์จะเคยร่วมงานบันทึกเสียงด้วย แต่ก็อยู่ในฐานะผู้ทำงานให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อจะได้สิ่งบันทึกเสียงหรือมาสเตอร์เทปให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งไปทำแผ่นเสียงที่ประเทศอินเดีย โจทก์ไม่อยู่ในฐานะจะส่งมาสเตอร์เทปไปทำแผ่นเสียงที่ประเทศอินเดียได้ มาสเตอร์เทปเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เป็นประโยชน์ต่อโจทก์ เชื่อว่าขณะนั้นหรือเมื่อ 40 ปีก่อน การผลิตมาสเตอร์เทปเพื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ทำธุรกิจเพลงเป็นเจ้าของหรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มิใช่ผลิตเพื่อผู้แต่งเพลง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เห็นว่า สิ่งบันทึกเสียงเพลงหรือมาสเตอร์เทปเพลงเป็นของฝ่ายจำเลยทั้งห้า ผู้ทำธุรกิจเพลงมิใช่ของโจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นและเนื่องจากคดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งห้าละเมิดลิขสิทธิ์ในสิ่งบันทึกเสียงเพลงหรือมาสเตอร์เทปเพลงพิพาท โดยทำซ้ำดัดแปลงและอนุญาตให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์เผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อการค้าจึงไม่มีประเด็นถึงเรื่องลิขสิทธิ์ในคำร้องและทำนองเพลงพิพาท ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำวินิจฉัยถึงประเด็นว่า โจทก์โอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงพิพาทซึ่งก็คือ คำร้องหรือทำนองเพลงพิพาทให้แก่จำเลยทั้งห้าหรือไม่ด้วยนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำฟ้องอันเป็นการไม่ชอบ คดียังไม่อาจรับฟังดังคำวินิจฉัยในส่วนนี้ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ และศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่อาจรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ไว้วินิจฉัยได้ด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share