แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าล้อมผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 บอกว่าอั๊วเป็นตำรวจพร้อมกับเอาบัตรประจำตัวแลบกระเป๋าเสื้อขอค้น ผู้เสียหายเชื่อจึงยอมให้ค้นจำเลยกับพวกค้นแล้วไม่ได้ของผิดกฎหมายจึงเอามีดออกขู่เอานาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายไป ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์ไปแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ดังนี้การแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจโดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปครบองค์ความผิดเป็นการเสร็จเด็ดขาดอยู่ในตัวไปตอนหนึ่งแล้วเมื่อไม่ได้ของผิดกฎหมายจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเอามีดออกขู่ทำการปล้นทรัพย์เป็นการเริ่มกรรมใหม่อีกกรรมหนึ่งถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สิทธินำคดีมาฟ้องยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันแสดงต่อนายเล้งนายติ๊กง้วนว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวบุคคลทั้งสอง และได้กระทำการเป็นเจ้าพนักงานตรวจค้นตัวบุคคลทั้งสองโดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145, 83
จำเลยที่ 1 รับสารภาพ จำเลยที่ 2 ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษานายอุทัยจำเลยที่ 1 ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145 จำคุก 6 เดือน ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือนยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ได้กระทำผิดคราวเดียวกับความผิดเรื่องปล้นศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลอาญา) พิพากษาจำคุกแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องระงับแล้ว
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) แล้ว พิพากษาแก้ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย
ผู้ว่าคดีฯ ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบได้ความว่าวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับพวกเข้าล้อมนายเล้งกับพวก แล้วจำเลยที่ 1 บอกว่า อั๊วเป็นตำรวจพร้อมกับเอาบัตรประจำตัวแลบกระเป๋าเสื้อขอค้น นายเล้งกับพวกเชื่อจึงอมให้ค้น จำเลยที่ 1 กับพวกค้นแล้วไม่ได้ของผิดกฎหมาย จำเลยทั้งสองกับพวกจึงเอามีดออกขู่เอานาฬิกาข้อมือของนายเล้งไป ศาลทหารกรุงเทพฯ ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 2 ฐานปล้นแล้ววินิจฉัยว่า การแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจโดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่มีอำนาจกระทำการนั้น นายอุทัยจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปครบองค์ความผิดอันเป็นการเสร็จเด็ดขาดอยู่ในตัวไปตอนหนึ่งแล้ว เมื่อไม่ได้ของผิดกฎหมายจำเลยที่ 1กับพวกจึงเอามีดออกขู่ทำการปล้นทรัพย์ เป็นการเริ่มกรรมใหม่ขึ้นอีกกรรมหนึ่งถ้าได้ของผิดกฎหมาย นายอุทัยจำเลยที่ 1 กับพวกจะทำการปล้นต่อไปหรือไม่ หรือจะจัดการกับของผิดกฎหมายที่ค้นได้อย่างไร ยังเป็นสิ่งที่น่าพิจารณาอยู่ ดังนี้ ถือได้ว่าการกระทำของนายอุทัยจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สิทธินำคดีมาฟ้องยังไม่ระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น