แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช่าห้องเพื่อการค้า แต่มิได้ทำการค้าเลยเพราะผู้เช่าถูกจำคุกเสีย และไม่มีเงินทุน การที่ผู้เช่าเปลี่ยนเจตนาเช่าเพื่อทำการค้าเป็นอยู่อาศัยเป็นการเปลี่ยนเจตนาฝ่ายเดียว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 552 และไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯ
ย่อยาว
โจทก์จำเลยว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวจากโจทก์เพื่อทำการค้า ครบกำหนดตามสัญญาโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลย จำเลยเพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลขับไล่จำเลยกับบริวารและเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากโจทก์จริง แต่เช่าเพื่ออยู่อาศัย อ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมเค่าเช่า ฯ หนังสือโจทก์ที่บอกเลิกสัญญาเป็นการบอกกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยช่าห้องพิพาทเพื่อทำการค้า หากแต่ยังไม่มีทุน ยี่ห้อของจำเลยก็ได้เตรียมไว้แล้ว ฉะนั้น วัตถุประสงค์แห่งการเช่าจึงเช่าเพื่อทำการค้า แม้จำเลยเลิกประกอบการค้า คงอยู่อาศัยอย่างเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์กันใหม่ จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตควบคุมค่าเช่า ฯ สัญญาเช่ามีกำหนดและสิ้นสุดลงแล้วสัญญาจึงระงับไป พิพากษาขับไล่จำเลยและให้ใช่ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจิฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อทำการค้าและเมื่อทำสัญญาเช่ากันแล้ว จำเลยได้ถูกจับฐานใช้เช็คและถูกศาลพิพากษาจำคุก ๘ เดือน ครอบครัวจำเลยคงอาศัยในห้องพิพาท จำเลยพ้นโทษออกมาพอดีกับสัญญาเช่าสิ้นสุด โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาการเช่า ซึ่งเห็นว่า ที่จำเลยมิได้ประกอบการค้าดังที่เจตนาเช่าไว้ ก็เพราะจำเลยไปถูกจำคุกเสียและไม่มีเงินทุน อันเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย การทีจำเลยเปลี่ยนเจตนาจากเช่าเพื่อทำการค้าเป็นอยู่อาศัยตามอำเภอใจของจำเลย โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยืนยอมด้วยเช่นนี้ เป็นการเปลี่ยนเจตนาฝ่ายเดีว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๕๒ ไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๖๔/๒๕๐๑ ห้องพิพาทจึงไม่ใช่เคหะตามความหมายของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าในภาวะคับขันฯ ฉะนั้น จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.๒๕๐๔ มาตรา ๔ จึงพิพากษายืน