แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน โดยซัดทอดว่าได้ร่วมกระทำความผิดกับ อ. หรือจำเลยที่ 2 และต่อมาภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ให้การในรายละเอียดของคดีเท่านั้น การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ เป็นการจับกุมในคดีเดียวกันกับที่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ซึ่งโจทก์มีพยานรู้เห็นการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อยู่แล้ว การที่จะถือว่าจำเลยที่ 1 ให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน อันจะเป็นเหตุให้ศาลลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำได้นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษรายอื่น หรือนำไปสู่การยึดได้ยาเสพติดให้โทษอีกจำนวนหนึ่งโดยไม่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของกลางคดีนี้ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากที่เกิดเหตุ จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2545 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 1 คน ที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 40,000 เม็ด น้ำหนัก 3,675.34 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 915.083 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้มีชื่อเป็นเงิน 1,000,000 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ร่วมกันมีอาวุธปืนไม่ทราบชนิด ขนาดและยี่ห้อ ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 1 กระบอก กับกระสุนปืนไม่ทราบขนาดจำนวน 2 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่มีเหตุได้รับยกเว้นโทษ ร่วมกันพาอาวุธปืนกับเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาต และร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการกระทำการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มเจ้าพนักงานตำรวจจำนวน 2 นัด โดยมีเจตนาฆ่า จำเลยทั้งสองกับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจไหวตัวและหลบหลีกได้ทัน กระสุนปืนจึงไม่ถูกผู้ใด เหตุเกิดที่ตำบลเขื่อนผาก อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ตามวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานตำรวจยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 40,000 เม็ด เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 138, 289, 371 และริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง (เดิม) ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์ของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม), 102 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 80 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นได้รับหนังสือจากเรือนจำกลางบางขวางแจ้งว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2552 ปรากฏตามสำเนามรณบัตรท้ายหนังสือของเรือนจำกลางบางขวาง โจทก์รับว่าเป็นความจริง
ศาลฎีกาตรวจวินิจฉัยว่า “เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นข้อแรกว่า มีเหตุให้ลงโทษจำเลยที่ 1 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 หรือไม่ โดยในข้อนี้จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 สำนึกผิดลุแก่โทษ ให้การรับสารภาพมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา และจำเลยที่ 1 ยังให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานสอบสวนอันเป็นข้อมูลที่สำคัญในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษจนนำไปสู่การจับกุมจำเลยที่ 2 เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ก็เป็นเพียงเหตุบรรเทาโทษที่ศาลสามารถจะลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ซึ่งคดีนี้ศาลล่างทั้งสองก็ได้ลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.20 โดยซัดทอดว่าได้ร่วมกระทำความผิดกับนายเอ็ดหรือจำเลยที่ 2 และต่อมาภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ให้การในรายละเอียดของคดีเท่านั้น การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ เป็นการจับกุมในคดีเดียวกันกับที่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ซึ่งโจทก์มีพยานรู้เห็นการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อยู่แล้ว การที่จะถือว่าจำเลยที่ 1 ให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน อันจะเป็นเหตุให้ศาลลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำได้นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษรายอื่น หรือนำไปสู่การยึดได้ยาเสพติดให้โทษอีกจำนวนหนึ่ง โดยไม่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของกลางคดีนี้ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากที่เกิดเหตุ กรณีของจำเลยที่ 1 จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อสุดท้ายมีว่า ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 (2) คงให้จำคุกตลอดชีวิตเหมาะสมแล้วหรือไม่ โดยในข้อนี้จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างคดีอื่นและขอให้ลดโทษเป็นโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปี ถึง 50 ปี เห็นว่า การใช้ดุลพินิจลดโทษกึ่งหนึ่ง เป็นจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปี ถึง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (2) นั้น ศาลจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในแต่ละคดีเป็นการเฉพาะ เนื่องจากข้อเท็จจริงในแต่ละคดีไม่เหมือนกัน แม้เป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษเช่นเดียวกันก็ตาม สำหรับคดีที่จำเลยที่ 1 อ้างมาในฎีกานั้น มีการลดโทษให้จริงหรือไม่ จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีหลักฐานมาแสดง อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงในคดีอื่นไม่อาจนำมาใช้แก่คดีนี้ได้ ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางคดีนี้มีจำนวนมากถึง 40,000 เม็ด สามารถแพร่กระจายไปในวงกว้าง ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจและสังคมของชาติเป็นอย่างมาก พฤติการณ์การกระทำความผิดจึงร้ายแรง ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลดโทษด้วยเหตุบรรเทาโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุกตลอดชีวิต นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุให้ศาลฎีกาแก้ไขเปลี่ยนแปลงอีก ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน