คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6627/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยระบุเพียงว่าโจทก์นำมูลหนี้เดียวกันกับคดีนี้ไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา จนสามารถหาข้อยุติและประนีประนอมยอมความกับ โจทก์ไปแล้ว โจทก์กลัวนำตั๋วเงินในมูลหนี้เดิมในคดีอาญา มาฟ้องเป็นคดีนี้ ซึ่งโจทก์ควรแจ้งให้จำเลยทราบเพราะจำเลย ได้ติดต่อกับโจทก์ตลอดมาเพื่อผ่อนชำระหนี้ตามคดีอาญา ดังกล่าว โจทก์ฉกฉวยโอกาสที่จำเลยไม่ทราบฟ้องโจทก์ มาปิดช่องทางการต่อสู้คดีของจำเลยโดยขอให้ ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว จนศาลพิพากษา ให้จำเลยชำระหนี้ ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่จำเลย คำขอให้ พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวไม่ได้อ้างหรือแสดงเหตุ โดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือ ไม่ถูกต้องในส่วนใด อย่างไร ทั้งจำเลยมิได้โต้แย้ง คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค ตามฟ้องดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหาก มีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไรคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวจำเลยยังมิได้กล่าว โดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น จึงเป็นคำขอให้พิจารณาใหม่ที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายชำระเงินตามเช็คจำนวน 3 ฉบับ เป็นเงิน661,444 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 629,225 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วเห็นว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดคือวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโดยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามฟ้อง จึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง และโจทก์ได้นำมูลหนี้ตามตั๋วเงินเดียวกันกับคดีนี้ไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6048/2539จนสามารถหาข้อยุติและประนีประนอมยอมความกับโจทก์ไปแล้วโจทก์กลับนำมูลหนี้ตามตั๋วเงินดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีนี้ซึ่งโจทก์ควรแจ้งให้จำเลยทราบเพราะจำเลยได้ติดต่อกับโจทก์ตลอดมาเพื่อผ่อนชำระหนี้ตามคดีอาญาดังกล่าวโจทก์ฉกฉวยโอกาสที่จำเลยไม่ทราบฟ้องโจทก์มาปิดช่องทางการต่อสู้คดีของจำเลยโดยขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวจนศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่จำเลยมาก
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้ววินิจฉัยว่า คำขอให้พิจารณาใหม่มิได้แสดงเหตุคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นหรือไม่พิเคราะห์แล้ว คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยระบุเพียงว่าโจทก์นำมูลหนี้เดียวกันกับคดีนี้ไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาที่ศาลแขวงพระนครเหนือตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6048/2539จนสามารถหาข้อยุติและประนีประนอมยอมความกับโจทก์ไปแล้วโจทก์กลับนำตั๋วเงินในมูลหนี้เดิมในคดีอาญามาฟ้องเป็นคดีนี้ซึ่งโจทก์ควรแจ้งให้จำเลยทราบเพราะจำเลยได้ติดต่อกับโจทก์ตลอดมาเพื่อผ่อนชำระหนี้ตามคดีอาญาดังกล่าว โจทก์ฉกฉวยโอกาสที่จำเลยไม่ทราบฟ้องโจทก์มาปิดช่องทางการต่อสู้คดีของจำเลยโดยขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวจนศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่จำเลยมาก ดังนี้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยไม่ได้อ้างหรือแสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไรจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร จำเลยเพียงแต่โต้แย้งว่าเช็คทั้งสามที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้เป็นเช็ค 3 ฉบับ ที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและจำเลยได้ติดต่อกับโจทก์ตลอดมาเพื่อผ่อนชำระหนี้ตามเช็คทั้งสามฉบับดังกล่าวเท่านั้น ดังนี้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวจำเลยยังมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น จึงเป็นคำขอให้พิจารณาใหม่ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง
พิพากษายืน

Share