แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อผู้รับเงินมัดจำไม่ชำระ+ผู้ให้เงินมัดจำเรียกคืนได้ วิธีพิจารณาแพ่ง พะยาน +ความในเอกสารซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เขียนโดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบข้อความนั้น+ที่ไม่ทราบสืบหักล้างข้อความนั้นได้ ไม่ปิดปาก ฎีกาอุทธรณ์ +สันนิษฐานของศาลจาก+คำพะยานนั้นไม่เรียกว่า+ข้อเท็จจริงนอกสำนวน
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำที่วางไว้ 2 ครั้งเป็นเงิน 876 บาทคืน โดยจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลเดิมโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับเงินมัดจำตามใบรับหมายเลขที่ 1 ไว้จากโจทก์ส่วนใบรับหมายเลข 2 ความว่ายังมิได้รับเงินไว้เลยนั้น จำเลยเป็นผู้เขียนเองโจทก์เป็นคนบ้านนอกอ่านหนังสือไม่ออกจึงหาปิดปากผู้โง่เขลาไม่
จำเลยฎีกาว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า (1) ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนที่ว่าโจทก์อ่านหนังสือไม่ออกและโง่เขลา (2) ศาลไม่ควรให้สืบพะยานหักล้างเอกสารหมายเลข 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาข้อ 1.ฟังไม่ขึ้น เพราะปรากฎตามคำพะยานโจทก์ว่าโจทก์อ่านหนังสือไม่ออก ใบรับจำเลยเป็นผู้เขียนเอง เพราะฉะนั้นความที่ว่าโง่เขลาหรือไม่เป็นคำสันนิษฐานจากถ้อยคำพะยานเหล่านี้ ฎีกาข้อ 2. ตามฟ้องโจทก์เรียกเงินตามเอกสารหมายเลข 1-2 เอกสารหมายเลข 2 ตอนต้นมีข้อความเป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดิน และมีข้อความว่าเงินยังไม่ได้ชำระต่อเมื่อชำระแล้วจึงจะโอนให้ คู่สัญญาได้ลงชื่อไว้แล้วตอน 2 มีว่า”ได้รับเงินมัดจำไว้ 176 บาท” ในข้อความตอนต้นแห่งเอกสารหมายเลข 2 นั้น ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยเขียนขึ้นเอง โจทก์ไม่เข้าใจหรืออีกนัยหนึ่งแปลว่าไม่มีสัญญาต่อกัน ไม่ผูกมัดโจทก์ โจทก์จึงสืบปฏิเสธเอกสารนั้นได้จึงพิพากษายืน