คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 402/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้กับผู้ว่าจ้างแทนการที่จำเลยที่ 1 จะต้องวางเงินมัดจำในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างเหมาทำการก่อสร้างอาคารให้ผู้ว่าจ้าง หนังสือค้ำประกันดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาที่โจทก์ผูกพันต่อผู้ว่าจ้างเพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างและไม่ชำระหนี้เท่านั้น โจทก์มิได้วางเงินตามหนังสือค้ำประกันให้ไว้ต่อผู้ว่าจ้างขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับผู้ว่าจ้างหนังสือค้ำประกันจึงมิใช่มัดจำ และเมื่อตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างไม่มีข้อความให้ผู้ว่าจ้างริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน ผู้ว่าจ้างจึงริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 1722/2513)
เมื่อผู้ว่าจ้างแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และสั่งริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน กับให้โจทก์ส่งเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระโจทก์ย่อมสามารถตรวจดูสำเนาสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 มอบให้ไว้ และทราบได้ว่าผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน แม้ตามหนังสือค้ำประกันโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างแต่ผู้ว่าจ้างก็มิได้เรียกร้องให้โจทก์ส่งเงินไปเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ส่งเงินไปชำระตามข้อเรียกร้องของผู้ว่าจ้าง ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระเงินให้ผู้ว่าจ้างไปโดยจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ไม่มีหน้าที่ต้องชำระและทั้งๆ ที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ทักท้วงแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ และจากจำเลยที่ 2, 3, 4, 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ซึ่งรับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารต่อองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ผู้ว่าจ้างว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ขอรับผิดแทน และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์ว่า หากโจทก์ได้รับความเสียหายจากการค้ำประกัน จำเลยที่ 1ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จนเต็มจำนวน และจำเลยที่ 2, 3, 4, 5 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ว่าจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารไม่แล้วเสร็จตามสัญญา จึงบอกเลิกสัญญา และริบเงินมัดจำค้ำประกันสัญญา ให้โจทก์ส่งเงินจำนวนดังกล่าวไป โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินดังกล่าวแก่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงชำระแทนไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันว่า สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างระหว่างองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้กับจำเลยที่ 1 มีว่า เมื่อบอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเพียงปรับจำเลยที่ 1 วันละ 500 บาท หรือเรียกค่าเสียหายหรือริบสิ่งก่อสร้างหรือสัมภาระอุปกรณ์ในการก่อสร้างเท่านั้น ไม่มีสิทธิริบเงินประกันสัญญา จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดสัญญา จำเลยที่ 3 ที่ 4 แจ้งให้โจทก์ระงับการชำระเงินดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่าข้อพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จะถึงที่สุด โจทก์จะจ่ายเงินจริงหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง หากจ่ายไปจริง ก็เป็นการจ่ายไปโดยพลการด้วยความประมาทเลินเล่อและไม่ยอมฟังคำทักท้วงของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงิน ขอให้ยกฟ้อง

ก่อนชี้สองสถาน จำเลยที่ 3 มรณะ นางปราณี ศรีสุระพล ภริยาของจำเลยที่ 3 ร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือค้ำประกันที่โจทก์ทำไว้กับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้นั้น เป็นเพียงสัญญาที่โจทก์ผู้ค้ำประกันผูกพันต่อองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เพื่อชำระหนี้ ในเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง และไม่ชำระหนี้เท่านั้น โจทก์มิได้วางเงินตามหนังสือค้ำประกันให้ไว้ต่อองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ในขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หนังสือค้ำประกันจึงมิใช่มัดจำตามความหมายดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 377 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามหนังสือสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างก็มิได้มีข้อความให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จึงริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้ ดังนั้น เมื่อองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แจ้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและสั่งริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน กับให้โจทก์ส่งเงินดังกล่าวไปชำระ โจทก์สามารถตรวจดูสำเนาสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 มอบให้ไว้ได้ ว่าองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ไม่มีสิทธิริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน แม้ตามหนังสือค้ำประกัน โจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างก็ตาม แต่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มิได้เรียกร้องให้โจทก์ส่งเงินไปเพื่อชดใช้ค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ส่งเงินไปชำระตามข้อเรียกร้องขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระเงินให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ไป โดยที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ไม่มีหน้าที่ต้องชำระตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างและโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระตามหนังสือค้ำประกัน และชำระไปทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ทักท้วงแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ และจากจำเลยที่ 2, 3, 4, 5 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน

พิพากษายืน

Share