คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6613/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อและสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อกำหนดว่าในกรณีที่มีการนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปทำประกันภัยแล้วรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหายผู้ให้เช่าซื้อต้องไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยก่อนจึงจะมีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อเอากับผู้เช่าซื้อ โจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อเอากับจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อได้โดยไม่จำต้องไปเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 285,908 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มิถุนายน 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,200 บาท
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 267.50 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ หมายเลขเครื่องยนต์ 2 KD9186579 หมายเลขตัวถัง MR032 JNF005086670 จากโจทก์ในราคา 458,063.52 บาทตกลงชำระค่าเช่าซื้อ 24 งวด งวดละ 19,085.98 บาท เริ่มชำระงวดแรกในวันที่ 10 มีนาคม 2547 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 10 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบโดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตามสัญญาเช่าซื้อสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ และสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 10 งวด และผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 11 ประจำวันที่ 10 มกราคม 2548 เป็นต้นมา ตามรายการผ่อนชำระ รถยนต์ที่เช่าซื้อเกิดความเสียหายอย่างสิ้นเชิงจากภัยธรรมชาติคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 จำเลยที่ 1 ทำประกันภัยความเสียหายรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้กับบริษัทพาณิชย์การประกันภัย จำกัด โดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ แต่ผู้รับประกันภัยไม่ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ และโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเท่าจำนวนเงินค่าเช่าซื้อค้างชำระ จำเลยทั้งสามได้รับหนังสือแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า สัญญาเช่าซื้อและสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อพิพาทไม่มีข้อกำหนดว่าในกรณีที่มีการนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปทำประกันภัยแล้วรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหายผู้ให้เช่าซื้อต้องไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยก่อนจึงจะมีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อเอากับผู้เช่าซื้อ โจทก์ฐานะผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อเอากับจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อได้โดยไม่จำต้องไปเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยก่อน ซึ่งสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อพิพาทระบุไว้มีใจความว่า ในกรณีที่รถเสียหายหรือถูกทำลายจนไม่สามารถซ่อมแซมให้ดีดังเดิมได้ ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง โดยหากไม่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย หรือเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถ ค่าทนายความ หรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นและมีเหตุอันสมควร แต่หากเป็นความผิดของผู้เช่าซื้อผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับจำนวนหนี้คงค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2543 ข้อ 4 (4) มีใจความว่าข้อสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภคต้องไม่ใช้ข้อสัญญาที่มีลักษณะหรือมีความหมายทำนองเดียวกันว่าให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วน ตามสัญญาในกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกทำลายโดยมิใช่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ เว้นแต่ค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความ หรือค่าอื่นใดเพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปตามความจำเป็นและมีเหตุอันสมควร ตามสำเนาประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา ข้อกำหนดในสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อพิพาทจึงมีเนื้อความสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฉบับดังกล่าวมิได้ขัดแย้งต่อประกาศดังกล่าวแต่อย่างใด จึงมีผลใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อเกิดความเสียหายอย่างสิ้นเชิงจากภัยธรรมชาติคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 จึงเป็นกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมให้ดีดังเดิมได้ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันสิ้นสุดลงตามข้อตกลงดังกล่าว มิใช่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวด ติดต่อกัน จนโจทก์มีหนังสือทวงถามให้ชำระค่าเช่าซื้อและบอกเลิกสัญญา ดังที่โจทก์อ้างมาในฎีกา โดยหนังสือทวงถามที่โจทก์อ้าง เป็นหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายก่อนดำเนินการฟ้องคดี มิได้มีลักษณะเป็นหนังสือทวงถามให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระภายในกำหนด 30 วัน มิฉะนั้นให้ถือหนังสือดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญาดังที่ระบุไว้ในสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อเมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโดยอาศัยข้อตกลงดังกล่าว โดยไม่ได้เป็นความผิดของจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบเพียงต้องชำระค่าเสียหาย หรือเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถามการติดตามรถ ค่าทนายความ หรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่โจทก์ได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นและมีเหตุอันสมควร โดยไม่จำต้องคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือชดใช้ราคาแทน โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความหรือค่าใช้จ่ายอื่นไป หรือไม่ เพียงใด จึงไม่กำหนดให้ คงมีเพียงค่าเสียหายจากการที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย เมื่อพิจารณาว่าในการจัดให้เช่าซื้อ โจทก์คิดผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ 3.39 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี เป็นเงิน 29,091.55 บาท หากรถยนต์ที่เช่าซื้อไม่เสียหายและจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนโจทก์จะได้รับผลประโยชน์เต็มจำนวนดังกล่าว แต่โจทก์ได้รับผลประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง 10 งวด รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหาย จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 16,970 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง จึงกำหนดให้ตามที่ขอมา โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงิน 16,970 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มิถุนายน 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกาโดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,200 บาท

Share