คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินเบิกล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิต / สัญญาซื้อชาย และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดชดใช้เงินในฐานะผู้ค้ำประกันอันเป็นมูลกรณีฐานผิดสัญญา แม้ฟ้องของจำเลยจะกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของโจทก์สมคบกับคนของบริษัทจำลยที่ 1 ร่วมกันแก้ไขและปลอมเอกสารสัญญาต่าง ๆ ที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ แต่ก็หาได้มีคำข้อบังคับให้เพิกถอนทำลายเอกสารสัญญาที่อ้างว่ามีการแก้ไขและปลอมนั้นเลย กลับมีคำขอบังคับให้โจทก์รับผิดต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ของโจทก์ อันเป็นการขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายในมูลฐานละเมิดที่บุคคลภายในคดีกระทำต่อจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งสินค้าออกนอกประเทศ ได้ทำคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตสัญญาซื้อขายกับโจทก์รวม ๗ ฉบับ เป็นการเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเป็นค่าสินค้าซึ่งจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจัดส่งไปยังลูกค้าในต่างประเทศ รวมเป็นเงิน ๑๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญาแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้สัญญาว่าจะจัดการส่งมอบเอกสารต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด และยินยอมให้โจทก์ใช้สิทธิหักเงินที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าของจำเลย ถ้าโจทก์เก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้หรือได้ไม่พอ จำเลยที่ ๑ ยอมชำระให้จนครบ ในการนี้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้เมื่อจำเลยที่ ๑ เบิกเงินล่วงหน้าจากโจทก์ไปแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ส่งสินค้าไปให้ลูกค้า จำเลยที่ ๑ เบิกเงินล่วงหน้าจากโจทก์ไปแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ส่งสินค้าไปให้ลูกค้าจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีเอกสารส่งให้โจทก์ และโจทก์ไม่มีเอกสารที่จะใช้สิทธิเก็บเงินจากลูกค้าของจำเลยที่ ๑ ได้ จำเลยที่ ๑ จึงผิดสัญญาและต้องนำเงินที่รับไปคืนโจทก์เป็นเงิน ๑๓ ล้านบาทเศษ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยทำคำขอเบิกเงินล่วงหน้าและไม่เคยรับเงิน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ ถึง ๑๐ และสัญญาค้ำประกันทั้งหมด เจ้าหน้าที่ของโจทก์คือนายสิรพรกับนายสุชาติสมคบกับนายประเมินร่วมกันแก่ไขและทำปลอมขึ้น โดยมีเจตนาจะล้มเลิกบริษัทจำเลยที่ ๑ และบริษัทในเครือ หนี้ทั้งหมดหากจะมีโจทก์ก็มีนายประเมินเป็นผู้ค้ำประกันอยู่แล้ว โจทก์ไม่ฟ้องนายประเมิน แต่กลับให้เครดิตนายประเมินตั้งบริษัทไทยเพลเลทส์ จำกัด ขึ้นใหม่ โดยมีเจตนาที่จะล้มกิจการของบริษัทจำเลยที่ ๑ และบริษัทในเครือ นอกจากนั้นนายประเมินผู้บริหารกิจการของจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นฟ้องขอเลิกบริษัทจำเลยที่ ๑ และขอตั้งผู้ชำระบัญชีอ้างว่าขาดทุนแต่ศาลได้พิพากษาว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ ไม่ขาดทุน นายประเมินจึงสมคบกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยหลักฐานที่ทำปลอมขึ้น เพื่อบีบบังคับให้จำเลยต้องเลิกล้มกิจการ และได้มีหนังสืออายัดเงินไปตามธนาคารต่าง ๆ เพื่อมิให้บริษัทนำเงินมาหมุนเวียนทำการค้า จำเลยต้องหยุดการค้าคิดเป็นค่าเสียหายประมาณ ๑๒ ล้านบาท แต่จำเลยยากจนไม่มีเงินค่าธรรมเนียมศาล จึงฟ้องแย้งโจทก์ให้รับผิดชอบต่อการกระทำของนายสิรพรและนายสุชาติ เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ส่วนฟ้องแบ่งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงไม่รับ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินเบิกล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิต / สัญญาซื้อขาย และให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับผิดชดใช้เงินในฐานะผู้ค้ำประกันอันเป็นมูลกรณีฐานผิดสัญญา ถึงแม้ตามฟ้องแย้งของจำเลยจะกล่าวอ้างว่านายสิรพรและนายสุชาติ เจ้าหน้าที่ของโจทก์สมคบกับนายประเมินคนของบริษัทจำเลยที่ ๑ ร่วมกันแก้ไขและปลอมเอกสารสัญญาต่าง ๆ ที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ก็ตาม แต่ฟ้องแย้งของจำเลยหาได้มีคำขอบังคับให้เพิกถอนทำลายเอกสารสัญญาที่จำเลยอ้างว่ามีการแก้ไขและปลอมขึ้นนั้นเลยกลับมีคำขอบังคับให้รับผิดชอบต่อจากการกระทำของนายสิรพรและนายสุชาติ เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นการขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายในมูลฐานะละเมิดที่บุคคลภายนอกคดีกระทำต่อจำเลย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ไม่เกี่ยวกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์
พิพากษายืน

Share