คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6593/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์จำเลยเพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกของ ม. ออกจากโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยอ้างว่า ว. บิดาโจทก์ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ม. ผู้เป็นภริยา ว. และเป็นมารดาโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะรับมรดกที่ดินมาแต่ต้น อันเป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์กับกองมรดกของ ม. โดยตรงและการขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกดังกล่าวย่อมกระทบกระเทือนถึงสิทธิของทายาทอื่นที่มีสิทธิรับมรดกของ ม. ซึ่งเป็นบุคคลนอกคดีเมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องหรือขอให้เรียกทายาทของ ม. เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ผลของคำพิพากษาย่อมไม่มีผลผูกพันทายาทอื่นของ ม. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายวงษ์กับนางมะลิเงินทอง จำเลยทั้งสามมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินและมีอำนาจเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม เมื่อปี 2536 นายวงษ์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 163 และที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 41200 ซึ่งเป็นมรดกของนายวงษ์ให้แก่นางมะลิต่อมาเดือนมิถุนายน 2539 นางมะลิถึงแก่ความตายโจทก์จึงพบพินัยกรรมของนายวงษ์ยกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์เพียงผู้เดียว โจทก์จึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกดังกล่าว จำเลยที่ 1มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 3 สั่งเพิกถอน แต่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทนจำเลยที่ 3 มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 แจ้งโจทก์ให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 และ 71 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 163 และที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 41200 ตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ หากจำเลยทั้งสามไม่เพิกถอน ขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายวงษ์ เงินทอง เนื่องจากข้อกำหนดในพินัยกรรมที่โจทก์อ้างไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่านายวงษ์จะยกทรัพย์สินอะไรให้แก่บุคคลใด และไม่มีข้อความระบุว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของนายวงษ์ ลายมือชื่อผู้เขียนพินัยกรรมมิใช่ลายมือชื่อของนายวงษ์พินัยกรรมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์รวมของนายวงษ์กับนางมะลิ เมื่อนายวงษ์ถึงแก่ความตายนางมะลิย่อมมีสิทธิรับมรดกที่ดินในส่วนของนายวงษ์ และเมื่อนางมะลิขอรับโอนที่ดินมรดกดังกล่าวของนายวงษ์ โจทก์และทายาทโดยธรรมทุกคนของนายวงษ์ทำหนังสือแสดงเจตนาสละมรดกให้แก่นางมะลิจำเลยที่ 1 สอบสวนทำบัญชีเครือญาติและประกาศเรื่องจดทะเบียนมรดกของนายวงษ์ผู้ตายระเบียบแล้ว ไม่มีผู้คัดค้าน การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินของนายวงษ์ให้แก่นางมะลิจึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบราชการ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายวงษ์และนางมะลิ เงินทอง บุคคลทั้งสองจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2504 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ สาขาตาคลี มีอำนาจหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในเขตอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์และเป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 เมื่อนายวงษ์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 41200 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 163 ตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ตามโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ให้แก่นางมะลิผู้ภริยา โดยโจทก์และทายาทอื่น ๆ ของนายวงษ์ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ประสงค์จะรับมรดกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวและยินยอมให้นางมะลิเป็นผู้รับมรดกแต่ผู้เดียว ตามบันทึกการสอบสวนขอจดทะเบียนโอนมรดกและสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 หลังจากนางมะลิมารดาโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ทำหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าโจทก์แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตามพินัยกรรมของนายวงษ์ ซึ่งเพิ่งจะค้นพบจำเลยที่ 1 ได้ส่งเรื่องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์จำเลยที่ 3 พิจารณาสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว แต่ในที่สุดจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 มีคำสั่งให้โจทก์ไปดำเนินการยื่นคำร้องขออายัดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 83 จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามโดยไม่ต้องฟ้องทายาทของนางมะลิหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามเพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกรายนางมะลิซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วออกจากโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยอ้างว่านายวงษ์บิดาได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ก่อนถึงแก่ความตาย นางมะลิผู้เป็นมารดาจึงไม่มีสิทธิที่จะรับมรดกที่ดินดังกล่าวมาแต่ต้น อันเป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์กับกองมรดกของนางมะลิโดยตรงและการขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกดังกล่าวย่อมกระทบกระเทือนถึงสิทธิของทายาทอื่นที่มีสิทธิรับมรดกของนางมะลิผู้ตาย ซึ่งเป็นบุคคลนอกคดี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องหรือขอให้เรียกทายาทของนางมะลิเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ผลของคำพิพากษาย่อมไม่มีผลผูกพันทายาทอื่นของนางมะลิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ได้ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลก็มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) สำหรับฎีกาข้ออื่นของโจทก์มิใช่ข้อสาระสำคัญที่จะทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

Share