คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของ ช.ให้ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืน จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงจะขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทให้แก่ ช. เป็นเวลา 1 ปี โดยได้รับเงินค่าขายฝากไปแล้วกับมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท และหนังสือ มอบอำนาจให้ ช. ไปจดทะเบียนขายฝากเอง แต่โจทก์ไปขอยกเลิกหนังสือมอบอำนาจอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ช. หรือทายาทมีสิทธิที่จะยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทไว้จนกว่าโจทก์จะจดทะเบียนการขายฝากหรือนำเงินราคาที่ขายฝากพร้อมดอกเบี้ยไปคืนแก่ทายาท ช. และให้การว่าโจทก์จะขอให้บังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องไม่ได้ เพราะจำเลยไม่ได้ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยจะต้องคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่จึงครอบคลุมถึงข้อต่อสู่ตามคำให้การของจำเลยแล้ว ทั้งจำเลยก็นำสืบพยานตามข้อต่อสู้นั้นแล้วด้วย ปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงและโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่จึงมิใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นแต่เป็นเรื่องที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง อันเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้วเพื่อให้ขบวนการยุติธรรมได้ดำเนินไปโดยรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก แม้ ช. จะเป็นผู้ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทโดยโจทก์มอบให้ไว้ เนื่องจากตกลงจะขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาททั้งสองแปลงให้แต่การที่ ช. เคยครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทไว้นั้น ก็เป็นเพียงการครอบครองเอกสารซึ่งแสดงว่าผู้เขียนในเอกสารนั้นได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเท่านั้น ช. ไม่ได้ครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินที่จำเลยอ้างว่าโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องขายฝากให้แก่ ช.ฉะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าช. หรือกองมรดกของช. มีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท เมื่อ ช. ถึงแก่ความตายจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ช. ย่อมไม่มีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 241 โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทจาก ช.เมื่อช. ถึงแก่ความตาย โจทก์จึงชอบที่จะบังคับสิทธิเรียกร้องต่อทายาทของ ช. คนใดก็ได้จำเลยเป็นทายาทโดยธรรมของ ช. โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งมอบหนังสือเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินคือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องส่งมอบเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินแก่โจทก์เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ มิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินแต่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้จำเลยใช้แทนโจทก์สำหรับการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเป็นเงินเกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูง ตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และศาลอุทธรณ์ก็มิได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 158 และเลขที่ 770 ให้แก่นางชลธี บัวสาย เพื่อขายฝากโจทก์ไม่ได้รับเงินค่าขายฝากจนกระทั่งนางชลธีถึงแก่ความตายโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทนางชลธีส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวคืนโจทก์ จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 158 และเลขที่ 770 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับขอให้ถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเพื่อเป็นหลักฐานดำเนินการขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ตกลงจะทำการขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่นางชลธี บัวสาย มีกำหนด 1 ปี โดยโจทก์ได้รับค่าขายฝากที่ดินจำนวน 800,000 บาท ไปก่อนแล้ว เพื่อเป็นหลักฐาน โจทก์ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับพร้อมกับหนังสือมอบอำนาจให้แก่นางชลธีไปทำการจดทะเบียนขายฝากที่สำนักงานที่ดินก่อนที่นางชลธีไปทำการจดทะเบียนขายฝาก โจทก์ได้ไปยื่นคำขอยกเลิกใบมอบอำนาจที่สำนักงานที่ดินและแจ้งว่าโจทก์จะไปทำการจดทะเบียนขายฝากให้นางชลธีเอง จนกระทั่งนางชลธีถึงแก่ความตาย โจทก์แจ้งแก่ทายาทของนางชลธีว่าจะไปจดทะเบียนขายฝากให้จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์จนกว่าโจทก์จะจดทะเบียนขายฝากให้แก่ทายาทนางชลธีหรือนำเงินจำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยมาคืนให้ทายาทของนางชลธี จำเลยทั้งสี่มิได้เป็นผู้ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 158 และ 770 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมคืนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเพื่อเป็นหลักฐานดำเนินการขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ให้ยกคำขอที่ว่า “หากจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมคืนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเพื่อเป็นหลักฐานดำเนินการขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับ” เสียค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 158 และเลขที่ 770 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2537 โจทก์มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับพร้อมหนังสือมอบอำนาจให้แก่นางชลธี บัวสาย ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 และเป็นมารดาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2537 นางชลธีถึงแก่ความตาย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่จะต้องคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่นั้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่และทายาทนางชลธีมีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท โดยศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสี่มิได้ให้การและนำสืบในข้อดังกล่าวไว้ ทั้งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสี่ได้ให้การไว้แจ้งชัดว่า โจทก์ตกลงจะขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทให้แก่นางชลธี ในราคา 800,000 บาท เป็นเวลา1 ปี โดยได้รับเงินค่าขายฝากไปแล้วโดยได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท พร้อมกับหนังสือมอบอำนาจให้นางชลธีไปจดทะเบียนขายฝากเอง แต่โจทก์ไปขอยกเลิกหนังสือมอบอำนาจอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต นางชลธีหรือทายาทจึงมีสิทธิที่จะยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทไว้จนกว่าโจทก์จะจดทะเบียนการขายฝากหรือนำเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยไปคืนแก่ทายาทนางชลธีและว่าโจทก์จะขอให้บังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องไม่ได้ เพราะจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท ซึ่งประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า จำเลยทั้งสี่จะต้องคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ ก็ครอบคลุมถึงข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวแล้ว ทั้งจำเลยทั้งสี่ก็ได้นำสืบพยานตามข้อต่อสู้นั้นแล้วด้วย ปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสี่มีสิทธิยึดหน่วงและโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จึงมิใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นดังความเห็นของศาลอุทธรณ์ แต่เป็นเรื่องที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง อันเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว เพื่อให้ขบวนการยุติธรรมได้ดำเนินไปโดยรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อต่อไปมีว่าจำเลยทั้งสี่มีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทหรือไม่ เห็นว่า แม้จะฟังตามที่จำเลยทั้งสี่นำสืบว่านางชลธีเป็นผู้ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท โดยโจทก์มอบให้ไว้เนื่องจากตกลงจะขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาททั้งสองแปลงให้ แต่การที่นางชลธีจะเคยครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทไว้นั้น ก็เป็นเพียงการครอบครองเอกสารซึ่งแสดงว่าผู้มีชื่อในเอกสารนั้นได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองดังกล่าวเท่านั้นนางชลธีไม่ได้ครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องขายฝากให้แก่นางชลธี ฉะนั้นจึงถือไม่ได้ว่านางชลธีหรือกองมรดกของนางชลธีมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท เมื่อนางชลธีถึงแก่ความตาย ทายาทของนางชลธีซึ่งรวมถึงจำเลยทั้งสี่ย่อมไม่มีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อสุดท้ายมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทจากจำเลยทั้งสี่หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทจากนางชลธี เมื่อนางชลธีถึงแก่ความตาย โจทก์จึงชอบที่จะบังคับสิทธิเรียกร้องต่อทายาทของนางชลธีคนใดก็ได้ จำเลยทั้งสี่เป็นทายาทโดยธรรมของนางชลธี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ได้
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งมอบหนังสือเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินคือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องส่งมอบเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินให้แก่โจทก์ เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ มิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดิน แต่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งสี่ใช้แทนโจทก์สำหรับการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 4,000 บาทเกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูงในศาลชั้นต้น ตามตาราง 6ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และศาลอุทธรณ์ก็มิได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความจำนวน 2,000 บาท

Share