แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีและมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศ สาธารณรัฐเกาหลี หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ทำขึ้นที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีได้มีการรับรองว่าได้จัดทำขึ้นจริง โดยทนายความโนตารีปับลิกผู้ได้รับอนุญาตแห่งสำนักทนายความที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงยุติธรรมของ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีให้ทำหน้าที่โนตารีปับลิกถูกต้องตามบัทบัญญัติกฎหมายของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีแล้ว แม้โจทก์จะได้นำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย ก็เป็นตราสารที่รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ กรณีไม่อยู่ในบังคับที่ให้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรอีก
โจทก์บรรยายคำฟ้องว่าจำเลยเช่าเหมาระวางเรือจากโจทก์ไปขนข้าวสารที่ท่าเรือเกาะสีชังไปส่งที่ประเทศเซเนกัล แต่มีข้าวสารบางส่วนเสียหายผู้รับตราส่งจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์กับพวก ศาลเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัลพิพากษาให้โจทก์กับพวกต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายซึ่งโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายไปแล้ว โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อผู้รับตราส่งตามสัญญาที่ทำกับจำเลย จึงได้ทวงถามให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์จำเลยไปยื่น ข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการประเทศอังกฤษ ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าเหมาระวางเรือ ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษ ให้ชี้ขาดว่าโจทก์ส่งหมายเรียกเกี่ยวกับการพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการประเทศอังกฤษให้จำเลยในประเทศไทยโดยมิชอบ แต่ศาลสูง แผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษได้มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยแล้ว ให้จำเลยใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ทวงถามค่าใช้จ่ายตามคำสั่งศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษจากจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย และขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้ส่วนนี้ให้แก่โจทก์นั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหา รวมทั้งข้อที่โจทก์อ้างอาศัยเป็นหลักในการกล่าวหาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามสัญญาเช่าเหมาระวางเรือ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระค่าใช้จ่ายในกรณีที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลสูงแผนกคดีพาณิฃย์ ประเทศอังกฤษ ให้มีคำสั่งในกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ส่งหมายเรียกเกี่ยวกับการพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการให้จำเลยในประเทศไทยโดยมิชอบ ไม่ใช่กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ณ นครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 หมวด 6 ว่าด้วยการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้วินิจฉัยทั้งสองกรณี รวมตลอดเรื่องความถูกต้องของสัญญาเช่าเหมาระวางเรือ การที่ศาลล่างทั้งสองไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว
แม้อนุญาโตตุลาการ ณ นครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย แต่ก็เป็นคนละส่วนกับคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับคำร้องของจำเลยที่อ้างว่าโจทก์ส่งหมายเรียกเกี่ยวกับการพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการดังกล่าวให้จำเลยในประเทศไทยโดยมิชอบ ซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว ตามคำสั่งของศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายให้โจทก์ ( The Defendant’pay the Plaintiffs’ costs in any event) คำสั่งของศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ เองจึงเป็นมูลหนี้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ว่าศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วยกคำร้องของจำเลย โดยจำเลยมิได้ต่อสู้ว่าศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ ไม่มีอำนาจพิจารณา หรือดำเนินกระบวนพิจารณาขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงต้องรับผิด ค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้จ่ายไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งต้องรวมค่าใช้จ่ายที่โนตารีปับลิกรับรองเอกสารในการส่งคำสั่งศาลให้แก่จำเลยด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน ๕๙๐,๖๐๒.๕๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๖๗,๗๖๕.๙๓ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๖๗,๗๖๕.๙๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องมิให้เกินจำนวน ๑๒๒,๘๓๖.๖๑ บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีและมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๓ ให้นายรัฐการ บุญเหนือ ฟ้องจำเลยแทน เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๒ จำเลยทำสัญญาเช่าเหมาระวางเรือเดินทะเลชื่อ ” เจียน จิน” จากโจทก์ เพื่อให้บรรทุกข้าวสารบรรจุกระสอบจากท่าเรือเกาะสีชังไปยังท่าเรือปลายทางเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัล ตามเอกสารหมาย จ.๕ ต่อมาผู้รับตราส่งที่ประเทศเซเนกัลฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์และบริษัทโคเรีย แอสเสท เมเนจเม้นท์ จำกัด ให้รับผิดที่สินค้าข้าวสารเสียหายระหว่างขนส่ง ซึ่งศาลเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัลให้โจทก์และบริษัทโคเรีย แอสเสท เมเนจเม้นท์ จำกัด รับผิดใช้ค่าเสียหาย โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากมิได้เป็นผู้รับขน จึงเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการที่นครลอนดอนประเทศอังกฤษวินิจฉัยตามข้อกำหนดในเอกสารหมาย จ.๕ ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษ ( THE HIGH COURT OF JUSTICE QUEEN’ S BENCH DIVISION COMMERCIAL COURT ) ว่า โจทก์ส่งหมายเรียกให้จำเลยเกี่ยวกับการพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการดังกล่าวนั้นไม่ชอบ ซึ่งศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าใช้จ่ายแก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๘
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาประการแรกว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๓ นั้น แม้จะทำใน ต่างประเทศก็ตาม แต่เมื่อนำมาใช้ในประเทศไทยก็ต้องปิดอากรแสตมป์ด้วย เพราะหนังสือมอบอำนาจที่ทำในประเทศไทยยังต้องปิดอากรแสตมป์ ทั้งตามประมวลรัษฎากรไม่มีข้อยกเว้นว่าหนังสือมอบอำนาจที่ทำในต่างประเทศแล้วนำมาใช้ในประเทสไทย ไม่จำต้องปิดอากรแสตมป์ การที่โจทก์ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์ย่อมไม่สามารถอ้างเป็นพยานในศาลได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า แม้หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๓ ที่โจทก์ให้นายรัฐการ บุญเหนือ ฟ้องคดีนี้แทนไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามอัตราในบัญชีท้ายประมวลรัษฎากรก็ตาม แต่ปรากฏว่าหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๓ โจทก์ทำขึ้นที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้ได้มีการรับรองว่าได้จัดทำกันขึ้นจริง โดยทนายความโนตารีปับลิกผู้ได้รับอนุญาต แห่งสำนักทนายความลีแอนด์โกซึ่งเป็นสำนักงานที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงยุติธรรมของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีให้ทำหน้าที่โนตารีปับลิกแล้ว จึงแสดงว่าหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๓ ได้ทำขึ้นถูกต้องตามบทบัญญัติกฎหมายของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีโดยชอบ ดังนั้น แม้จะได้มีหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย ก็ย่อมถือได้ว่าเป็นตราสารที่รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ กรณีไม่จำเป็นต้องอยู่ในบังคับที่ให้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฏากรอีกดังเช่นที่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว นายรัฐการ บุญเหนือ จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้
จำเลยฎีกาประการที่สองในเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า คำฟ้องเป็นเพียงการสรุปข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อให้เห็นถึงความเกี่ยวพันระหว่างโจทก์และจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำการใดให้โจทก์ต้องเสียหายพร้อมคำขอให้บังคับจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์พอที่จำเลยจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้เท่านั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเช่าเหมาระวางเรือจากโจทก์ไปขนข้าวสารที่ท่าเรือเกาะสีชังไปส่งที่ประเทศเซเนกัล แต่มีข้าวสารส่วนเสียหาย ผู้รับตราส่งจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์กับพวก ศาลเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัลพิพากษาให้โจทก์กับพวกต้อง รับผิดใช้ค่าเสียหายซึ่งโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายไปแล้ว โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่จำต้องรับผิดต่อผู้รับตราส่งตามสัญญาที่ทำกับจำเลย จึงได้ทวงถามให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์จำเลยไปยื่นข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ ณ นครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าเหมาระวางเรือ ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษให้ชี้ขาดว่า โจทก์ส่งหมายเรียกเกี่ยวกับการพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการประเทศอังกฤษ ให้จำเลยในประเทศไทยโดยมิชอบ แต่ศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ ได้มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยแล้วให้จำเลยใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ ทวงถามค่าใช้จ่ายตามคำสั่งศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษจากจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉยและขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้ส่วนนี้ให้แก่โจทก์นั้น เป็นคำฟ้องที่โจทก์แสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหา รวมทั้งข้อที่โจทก์อ้างอาศัยเป็นหลักในการกล่าวหาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์พร้อมทั้งมีคำขอให้บังคับจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แล้ว ส่วนการที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงการที่จำเลยผิดสัญญาเช่าเหมาระวางเรือข้อใด สินค้าสูญหายหรือเสียหายเท่าใด คิดเป็นเงินเท่าใด โจทก์ชดใช้เงินให้ผู้รับตราส่งไปแล้ว เท่าใดและได้ชำระเมื่อใดดังเช่นที่จำเลยฎีกานั้นก็มิได้เป็นสาระที่จะเป็นเหตุทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใด เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาเช่าเหมาระวางเรือเกี่ยวกับการที่โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้รับ ตราส่งตามคำพิพากษาของศาลเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัล ซึ่งข้อพิพาทดังกล่าวโจทก์ได้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการ ณ นครลอนดอนประเทศอังกฤษให้พิจารณาตามข้อตกลงในสัญญาเช่าเหมาระวางเรือแล้ว แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ตามคำสั่งของศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษเกี่ยวกับกรณีที่จำเลยยื่นคำร้อง ต่อศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษว่า โจทก์ส่งหมายเรียกเกี่ยวกับการพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการ ดังกล่าวให้แก่จำเลยในประเทศไทยโดยมิชอบซึ่งเป็นคนละกรณีกัน การที่โจทก์บรรยายไว้ดังเช่นที่จำเลยฎีกานั้น คงเป็นเพียงการอ้างให้เห็นความเกี่ยวพันถึงเหตุที่มาที่โจทก์อาศัยเป็นหลักในการกล่าวหาจำเลยให้ต้องรับผิดต่อโจทก์ว่า จำเลยไม่ชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามคำสั่งของศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษ เท่านั้น ซึ่งไม่เป็นการยากที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องและต่อสู้คดีได้แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมนั้นชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาประการที่สามว่า จำเลยได้อุทธรณ์เกี่ยวกับกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศที่เป็นภาคีสมาชิกแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการยอมรับนับถือและการใช้บังคับคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศฉบับนครนิวยอร์ค ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๐๑ และที่ว่า สินค้าข้าวสารไม่ได้สูญหายหรือเสียหายดังโจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยผิดสัญญา จำเลยไม่เคยถูกฟ้องที่ศาลเมืองดาการ์ประเทศเซเนกัล จำเลยไม่เคยได้รับการบอกกล่าวทวงถาม ไม่เคยรับหมายเรียกของศาลดังที่โจทก์อ้าง อันเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบพิสูจน์ แต่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งทางนำสืบของโจทก์มิได้ความดังฟ้อง จึงควรที่จะยกฟ้องนั้น เห็นว่า คดีเรื่องนี้โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามสัญญาเช่าเหมาระวางเรือแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระค่าใช้จ่ายในกรณีที่จำเลยื่นคำร้องต่อศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษให้มีคำสั่งในกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ส่งหมายเรียกเกี่ยวกับการพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการให้จำเลยในประเทศไทยโดยมิชอบ ดังวินิจฉัยมาแต่ต้นแล้ว ไม่ใช่กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ณ นครลอนดอนประเทศอังกฤษตามพระราชบัญญัติอนุญาตโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ หมวด ๖ ว่าด้วยการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ ดังนั้นคดีเรื่องนี้จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้วินิจฉัย ทั้งสองกรณี รวมตลอดเรื่องความถูกต้องของสัญญาเช่าเหมาระวางเรือตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองไม่หยิบยกข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยขึ้นวินิจฉัยนั้นเป็นการชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาประการสุดท้ายเกี่ยวกับที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้องเป็นการไม่ชอบว่า แม้ศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษจะมีคำสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ก็ตาม แต่เนื่องจากอนุญาโตตุลาการ ณ นครลอนดอนประเทศอังกฤษยังมิได้พิจารณาชี้ขาดตามเอกสารหมาย จ.๖ ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิด เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเรียกค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษให้จำเลยชำระ เพราะอยู่ในระหว่างพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ส่วนค่าใช้จ่ายของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๙ และ จ.๑๐ ก็ไม่สามารถเรียกร้องเอาจากจำเลยได้เพราะเป็นค่ารับรองเอกสารที่โจทก์ให้โนตารีปับลิกรับรองเองเพื่อนำเอกสารมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ซึ่งศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษมิได้วินิจฉัยให้จำเลยชำระเงินส่วนนี้นั้น เห็นว่า แม้อนุญาโตตุลาการ ณ นครลอนดอนประเทศอังกฤษยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาด ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยก็ตาม แต่ก็เป็นคนละส่วนกับคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดของศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ ประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับคำร้องของจำเลยที่อ้างว่าโจทก์ส่งหมายเรียกเกี่ยวกับการกพิพาทกันในชั้นอนุญาโตตุลาการ ดังกล่าวให้จำเลยในประเทศไทยโดยมิชอบซึ่งถึงที่สุดแล้ว ตามคำสั่งของศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายให้โจทก์ ( The Defendant’s pay the Plaintiff’s cost in any event ) ตามเอกสารหมาย จ.๘ คำสั่งของศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษเองจึงเป็นมูลหนี้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ว่าศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วยำคำร้องของจำเลย โดยจำเลยมิได้ต่อสู้ว่า ศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษไม่มีอำนาจพิจารณา หรือดำเนินกระบวนพิจารณาขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนอย่างไรหรือไม่ ดังนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้จ่ายไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลสูงแผนกคดีพาณิชย์ประเทศอังกฤษตามเอกสารหมาย จ.๙ ซึ่งต้องรวมค่าใช้จ่ายที่โนตารีปับลิก รับรองเอกสารในการส่งคำสั่งศาลให้แก่จำเลยด้วยตามเอกสารหมาย จ.๑๐ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกประการฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ .