แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสี่และผู้อยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ได้ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางเดินเข้าออกโดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภารจำยอมเกินกว่าสิบปี ทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมของโจทก์ทั้งสี่ ส่วนที่จำเลยเคยฟ้อง ส. ซึ่งอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ให้รื้อถอนสะพานไม้บนที่ดินพิพาทและศาลพิพากษาให้ ส. รื้อสะพานออกไปและห้ามเกี่ยวข้อง ย่อมเป็นเรื่องที่ผูกพันระหว่างจำเลยและบริวารกับ ส. และมีผลบังคับให้ ส. ต้องรื้อสะพานและห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องในการก่อสร้างสิ่งใด ๆ ขึ้นอีกเท่านั้น หาได้ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นพี่สาวโจทก์ที่ 2 โดยเป็นบุตรของนายไสวกับนางเกิด บุญประเสริฐ โจทก์ที่ 3 เป็นหลานของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2ส่วนโจทก์ที่ 4 เป็นบุตรเขยของโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์แปลงหนึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 7ตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ1 ไร่ อาณาเขตทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์กว้างประมาณ 3 เมตรถัดจากทางสาธารณประโยชน์ขึ้นไปเป็นที่ดินของนางวิไล ฉิมมี ทิศใต้ติดคลองบ่อตาโล่ ทิศตะวันออกติดที่ดินจำเลย ทิศตะวันตกติดที่ดินนางสาววรรณภา จันทร์สุคนธ์ ทางสาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือดังกล่าวมีมาประมาณ 90 ปีแล้ว ประชาชนภายในหมู่บ้านใช้สัญจรไปมา ทางดังกล่าวผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางเดินสาธารณะในหมู่บ้านอีกเส้นหนึ่งมีความกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 1 เส้นและเมื่อถึงฤดูน้ำท่วมก็ใช้เรือสัญจรไปตามเส้นทางดังกล่าวผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ถนนสาธารณะ โจทก์ทั้งสี่และบริวารรวมทั้งประชาชนในหมู่บ้านใช้ทางดังกล่าวมาประมาณ 70 ปี โดยไม่ได้ขออนุญาตจากจำเลยหรือผู้ใดทางดังกล่าวจึงตกเป็นทางสาธารณประโยชน์และทางภารจำยอม เมื่อวันที่ 20กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยได้นำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสาขาวังน้อย มารังวัดออกโฉนดที่ดินโดยจำเลยนำรังวัดเอาทางพิพาทดังกล่าวไปออกโฉนดเป็นของจำเลยด้วย โจทก์ทั้งสี่ได้ไปคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถรังวัดออกโฉนดให้แก่จำเลยได้ หลังจากนั้นประมาณ 7 วันจำเลยได้นำเสาปูนไปปักดินกั้นทางพิพาท จำนวน 5 ต้น ตรงบริเวณทางพิพาท ส่วนที่อยู่สุดที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยและได้ใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อขนดินมาถมปิดทางพิพาทตรงปากทางที่เชื่อมติดกับถนนสาธารณะ เป็นความยาวประมาณ 3 วา สูงจากพื้นทางพิพาทเดิมประมาณ 1 วา ทำให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารไม่สามารถใช้รถจักรยานยนต์และเดินสัญจรไปมาได้สะดวกการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถใช้เส้นทางพิพาทได้ตามปกติขอให้พิพากษาว่าทางตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องกว้างประมาณ3 เมตร ยาวประมาณ 1 เส้น เป็นทางสาธารณประโยชน์และทางภารจำยอมให้จำเลยไปจดทะเบียนเป็นทางสาธารณประโยชน์และทางภารจำยอม หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่ปักปิดกั้นทางพิพาทออกไปให้พ้นทางดังกล่าวและให้จำเลยปรับสภาพทางที่จำเลยถมดินปิดทางให้อยู่ในสภาพที่โจทก์ทั้งสี่และบริวารสามารถใช้เส้นทางได้ตามปกติ หากจำเลยไม่ดำเนินการก็ให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี และห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวและขัดขวางในการที่โจทก์ทั้งสี่และบริวารใช้เส้นทางพิพาท
จำเลยให้การว่า รูปแผนที่ตามเอกสารท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินซึ่งมีใบเหยียบย่ำ เดิมจำเลยให้โจทก์ทั้งสี่และบุคคลอื่นอาศัยผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะในหมู่บ้าน มีความกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดินของจำเลย ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางสาธารณประโยชน์หรือทางภารจำยอมการที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน โดยวัดเอาทางดังกล่าวด้วยนั้นก็เพราะเป็นที่ของจำเลย การที่จำเลยเอาเสาปูนหรือเอาดินมาถมทางเป็นการกระทำในที่ดินของจำเลยเองไม่ทำให้โจทก์ทั้งสี่และบุคคลอื่นเดือดร้อน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาจำเลยถึงแก่กรรม นายอานนท์ ไวยชิตาทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง 3 เมตร ยาวประมาณ 1 เส้นตามเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.7 เป็นทางสาธารณประโยชน์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาทและทำทางพิพาทให้กลับสู่สภาพที่โจทก์ทั้งสี่และบริวารสามารถใช้ทางได้ตามปกติ ห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวขัดขวางมิให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารใช้ทางพิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาโจทก์ที่ 4 ถึงแก่กรรม เด็กชายทศพล หาพิกุลทายาทของโจทก์ที่ 4 โดยนางสุภาภรณ์ มารุเกล้า มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมของโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ทิศเหนือติดกับทางสาธารณประโยชน์กว้างประมาณ 3 เมตร และทิศตะวันออกติดกับที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งสี่อยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่โดยมีบ้านปลูกอยู่อาศัยบนที่ดินรวม 6 หลัง มีผู้อยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ประมาณ30 คน โจทก์ทั้งสี่และผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาททางด้านทิศเหนือของที่ดินเดินผ่านที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ3 เมตร ยาวประมาณ 1 เส้น ออกสู่ถนนสาธารณะซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินของจำเลยเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2538นายอานนท์ ไวยชิตา หลานของจำเลยซึ่งอยู่อาศัยในที่ดินของจำเลยได้นำดินไปถมปิดทางพิพาท และนำถังเหล็กขนาดใหญ่มาวางในทางพิพาททั้งได้นำเสาปูนจำนวน 5 ต้น มาปักในตอนต้นทางของทางพิพาท กีดขวางการใช้ทางพิพาทมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมของที่ดินของโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ เห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีโจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 3 โจทก์ที่ 4 นายสมทบ ไวกยี นายชั้น อินทร์พร นางวิไล ฉิมมี และนางเฉลียว ม่วงอันมาเบิกความเป็นพยานสอดคล้องตรงกันว่า โจทก์ทั้งสี่และบุคคลที่อยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ถนนสาธารณะโดยไม่ต้องขออนุญาตจากจำเลยและจำเลยไม่เคยหวงห้ามมานานหลายสิบปีแล้ว โดยเฉพาะนายสมทบเคยเป็นกำนันตำบลบ่อตาโล่ ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับตำบลลำตาเสาซึ่งทางพิพาทตั้งอยู่ และรู้จักคุ้นเคยกับนายไสวเจ้าของที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เดิม นางวิไลเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินจำเลย นายชั้นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลลำตาเสา ซึ่งเป็นท้องที่ที่ทางพิพาทตั้งอยู่ และนางเฉลียวซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่ศาลผู้ติดตามผู้พิพากษาศาลชั้นต้นไปเดินเผชิญสืบ นับว่าเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด ทั้งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน คำเบิกความของบุคคลดังกล่าวย่อมมีน้ำหนักให้รับฟัง นายผล ชูกลิ่น สามีนางฉลวย ชูกลิ่นบุตรของจำเลยซึ่งอยู่อาศัยในที่ดินของจำเลยมาเบิกความเป็นพยานจำเลยก็เบิกความรับว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเดิน โดยจำเลยไม่เคยห้ามปรามและผู้มีบ้านใกล้เคียงกับทางพิพาทก็จะใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกโดยไม่มีการหวงห้ามไม่ให้เดินแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการเจือสมพยานโจทก์ ทั้งทางนำสืบของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุ จำเลยได้เคยแสดงพฤติการณ์อย่างใด ๆอันเป็นการสงวนสิทธิในการใช้ทางพิพาทในที่ดินของตนแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าเมื่อประมาณ ปี 2533 นายสวัสดิ์ซึ่งอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เคยขออนุญาตจำเลยสร้างสะพานไม้บนที่ดินพิพาทเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกเนื่องในงานอุปสมบทบุตรของนายสวัสดิ์ เสร็จงานแล้วไม่รื้อถอนสะพานไม้ จำเลยได้ฟ้องนายสวัสดิ์ให้รื้อสะพาน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้นายสวัสดิ์รื้อสะพานออกไปจากที่ดินของจำเลยและห้ามนายสวัสดิ์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของจำเลยนั้นเห็นว่า คดีที่จำเลยอ้างถึงเป็นคดีพิพาทระหว่างจำเลยและนายสวัสดิ์เมื่อศาลพิพากษาให้นายสวัสดิ์รื้อสะพานออกไปและห้ามเกี่ยวข้องย่อมเป็นเรื่องที่ผูกพันระหว่างจำเลยและบริวารกับนายสวัสดิ์ และมีผลบังคับให้นายสวัสดิ์ต้องรื้อสะพาน และห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องในการก่อสร้างสิ่งใด ๆ ขึ้นอีกเท่านั้น หาได้ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่มีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังได้ยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสี่และผู้อยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ได้ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางเดินเข้าออกโดยสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภารจำยอมเกินกว่าสิบปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมของที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน