แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ทั้งสามไว้พิจารณาโดยกำหนดวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ และออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลในวันนัดพร้อมกับส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยชอบแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 37 แล้ว เมื่อจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดโดยไม่แจ้งให้ศาลแรงงานกลางทราบเหตุที่ไม่มาและศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีของโจทก์ทั้งสามไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 40 วรรคสอง จำเลยขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามมาตรา 41 ซึ่งบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ต้องดำเนินการภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าว ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ไต่สวนจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงโจทก์ที่ ๓
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างจำเลย เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยโจทก์ทั้งสามไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓,๗๑๗ บาท และค่าชดเชย ๓๑,๘๖๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓,๖๗๕ บาท และค่าชดเชย ๓๑,๕๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓,๔๐๒ บาท และค่าชดเชย ๑๔,๕๘๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๓
ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ โจทก์ทั้งสามมาศาล ส่วนจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลแรงงานกลางจึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและขาดนัดพิจารณา แล้วพิจารณาคดีของโจทก์ทั้งสามไปฝ่ายเดียวและพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสามตามฟ้อง
วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๓ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ทำการไต่สวนและอนุญาตให้พิจารณาคดีนี้ใหม่
โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและพิพากษาคดีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๓ จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างเหตุว่าไม่ได้จงใจขาดนัดในวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๓ เกินกำหนด ๗ วัน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๐ (ที่ถูกมาตรา ๔๑) มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอพิจารณา คดีใหม่ของจำเลย
จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าคำสั่งศาลแรงงานกลางที่สั่งให้ยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยโดยไม่ไต่สวนก่อนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่าศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ทั้งสามไว้พิจารณาโดยกำหนดวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ และออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลในวันนัดพร้อมกับส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยไม่โต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าว เพียงแต่อ้างว่าพนักงานของจำเลยนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปเก็บลืมไว้เท่านั้น จึงต้องถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๗ แล้ว เมื่อจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดโดยไม่แจ้งให้ศาลแรงงานกลางทราบเหตุที่ไม่มา และศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีของโจทก์ทั้งสามไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๐ วรรคสอง จำเลยขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๑ ซึ่งบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ต้องดำเนินการภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าว กรณีจึงต้องยกคำร้อง ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ ยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ไต่สวนจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามสำนวนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน