คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับคณะกลองยาวไปวัดในพิธีอุปสมบท คณะกลองยาวเล่นกลองยาวบนศาลาอยู่กับผู้เสียหายและญาติ ต่อมาคณะกลองยาวก็ลงจากศาลาประโคมกลองยาวนำหน้านาค โดยมีผู้เสียหายเดินตามไปผู้เสียหายไปได้ 2 เส้น รู้สึกตัวว่าสายสร้อยข้อมือทองคำหายจึงกลับขึ้นไปหาบนศาลา ปรากฏว่า ส. อายุไม่เกิน 7 ปี เก็บสร้อยนั้นได้บนศาลาแล้วเอาไปให้จำเลยที่ 2 อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นพี่สาวจำเลยที่ 2 เอาไปให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาที่ข้างศาลาในเวลากระชั้นชิดกัน จำเลยที่ 1 เอาสร้อยห่อพกออกจากวัดไปทันที เมื่อผู้เสียหายไปสอบถาม จำเลยที่ 1 ว่าไม่รู้เห็น พฤติการณ์เช่นนี้ถือว่าสร้อยนั้นยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหาย ไม่ใช่ทรัพย์ตกหาย จำเลยที่ 1 น่าจะทราบว่าทรัพย์นั้นเป็นของพวกที่มาในคณะกลองยาวและเจ้าของจะติดตามเอาคืนจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วน ส. และจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่มีความผิด
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองและเด็กชายสมทรง อายุไม่เกิน ๗ ปี ร่วมกันลักสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๘๓ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๔๕๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๘๓ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ หกเดือนส่วนจำเลยที่ ๒ อายุเกิน ๗ ปี แต่ไม่เกิน ๑๔ ปีขณะกระทำผิด ได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปตามมาตรา ๗๔ ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๔๕๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แต่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษในฐานความผิดนี้ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ และเป็นเหตุในลักษณะคดี พิพากษากลับให้ยกฟ้องถึงจำเลยที่ ๒ ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุนางลำใยผู้เสียหายกับญาติและคณะกลองยาวไปที่วัดในพิธีอุปสมบท คณะกลองยาวได้เล่นกลองยาวกันบนศาลา มีเด็กนักเรียนและผู้เสียหายกับญาติอยู่บนศาลาด้วยประมาณ ๒๐ นาที นาคที่จะอุปสมบทลงจากกุฎิพระ คณะกลองยาวก็ลงจากศาลาประโคมกลองยาวนำหน้านาคไป ผู้เสียหายเดินตามไปห่างศาลาประมาณ ๒ เส้น จึงรู้สึกตัวว่า สร้อยทองคำซึ่งสวมอยู่ที่ข้อมือหลุดหายไป ปรากฏว่าเด็กชายสมทรง (อายุประมาณ ๗ ปี) เก็บสร้อยนั้นได้จากพื้นศาลา หยิบชูให้เด็กชายสมชายและเด็กชายปรีชาดู แล้วนำสร้อยไปให้จำเลยที่ ๒ (อายุ ๑๓ ปี) พี่สาวซึ่งอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ข้างศาลา จำเลยที่ ๒ เอาไปให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดาในเวลากระชั้นชิดกันนั้นเอง จำเลยที่ ๑ เอาสร้อยห่อพกออกจากวัดไปทันที เมื่อผู้เสียหายรู้ตัวสร้อยหลุดหายจึงกลับขึ้นไปหาบนศาลา ก็ทราบเรื่องดังกล่าวจากเด็กชายสมชายและเด็กชายปรีชาจึงตามไปที่เรือที่จำเลยที่ ๑ อาศัยจอดอยู่หน้าวัดนั้น พบเด็กชายสมทรงเด็กชายสมทรงว่าสายสร้อยให้จำเลยที่ ๑ ไปแล้ว ผู้เสียหายตามไปหาจำเลยที่ ๑ พูดขอสร้อยคืนจำเลยที่ ๑ ปฏิเสธว่าไม่รู้เห็น จึงวินิจฉัยว่าเด็กชายสมทรงเก็บสร้อยได้แล้วชูให้เพื่อนดูเป็นทำนองอวดเพื่อน เมื่อผู้เสียหายสอบถามก็รับว่าเก็บสร้อยได้ หาได้ซ่อนเร้นปิดบังแต่อย่างใดไม่ยังไม่พอฟังว่าเด็กชายสมทรงได้ยึดถือหรือเบียดบังเอาทรัพย์นั้นไว้โดยเจตนาทุจริต จึงไม่มีความผิด
สำหรับจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเด็กชายสมทรงเก็บสร้อยได้แล้วนำไปมอบให้จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ นำไปมอบให้จำเลยที่ ๑ เป็นเวลากระชั้นชิดติดพันกัน ถือว่าสร้อยนั้นยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหาย ไม่ใช่ทรัพย์ตกหาย การที่เด็กชายสมทรงเก็บทรัพย์นั้นได้ มิได้ทำให้ความยึดถือของผู้เสียหายขาดตอนไป ขณะนั้นจำเลยที่ ๑ ก็อยู่ที่ข้างศาลาและบนศาลาไม่มีคนอื่นนอกจากคณะกลองยาว จำเลยที่ ๑ น่าจะทราบว่าทรัพย์นั้นเป็นของผู้ที่มาในคณะกลองยาว เมื่อจำเลยที่ ๑ รับสร้อยจากจำเลยที่ ๒ แล้วเอาห่อพกออกจากวัดไปทันที แสดงว่าจำเลยที่ ๑ คงหวาดเกรงว่าเจ้าทรัพย์อาจติดตามมาเอาคืนได้ การที่จำเลยที่ ๑ เอาทรัพย์นั้นไปโดยรู้ว่าไม่ใช่ทรัพย์ของตนในลักษณะดังนี้ จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ต้องด้วยความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ ๒ อายุเพียง ๑๓ ปี เมื่อรับสร้อยจากเด็กชายสมทรงแล้วก็เอาไปให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดาทันทีตามวิสัยของเด็กผู้อยู่ใกล้ชิดมารดาในขณะนั้นไม่มีเจตนาที่จะยึดถือทรัพย์นั้นไว้โดยทุจริต จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีความผิดสถานใด
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ ให้จำคุก ๖ เดือน แต่จำเลยเป็นหญิงยังมีบุตรเล็ก ๆ อยู่ในความเลี้ยงดู และไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรให้โอกาส จำเลยกลับตนสักครั้งหนึ่ง จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๔๕๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องพ้นข้อหาไป

Share