แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกันมาในคำฟ้องฉบับเดียวกัน การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๑ ได้นำประกาศแบบฟอร์ม ท.ด.๔ ที่ยังมิได้กรอกข้อความไปหลอกให้โจทก์หลงเชื่อลงชื่อให้ แล้วต่อมาวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๐๘ เวลากลางวันจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ร่วมกันกรอกข้อความเท็จลงบนลายมือชื่อโจทก์ว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ รับโอนที่นา ๓ แปลง มาจากนายเสริมแทนโจทก์ และมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ โอนนาไปยังจำเลยที่ ๑แทนโจทก์ด้วย โดยจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นที่ดินอำเภอสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๐๘ จำเลยได้สมคบกันหลอกลวงโจทก์ให้ลงชื่อในแบบ ท.ด.๑ ว่าเป็นหนังสือขอโอนที่นาจากนายเสริมมาเป็นของโจทก์และในวันเดียวกันนั้น จำเลยได้กรอกข้อความว่าโจทก์เป็นผู้ให้นายเจิมจำเลยเป็นผู้รับให้
โดยอาศัยการกระทำปลอมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๐๘ จำเลยทั้งสามได้สมคบกันทำหนังสือยกนาพิพาททั้ง ๓ แปลงให้นายเจิมจำเลยแล้วต่อมาในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยที่ ๑ ได้ใช้เอกสารปลอมดังกล่าวไปอ้างอิงในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๒/๒๕๑๐ ของศาลชั้นต้นและนายเจิมจำเลยได้เข้าเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๒/๒๕๑๐ นั้นด้วยเหตุเรื่องปลอมเอกสารเกิดที่ตำบลชีพวน อำเภอเขื่องใน และตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เหตุเรื่องใช้เอกสารปลอมและเบิกความเท็จเกิดที่ศาลจังหวัดอุบลราชธานีขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๑๗๗, ๑๘๐, ๘๓, ๘๖ และขอให้ศาลสั่งว่านาพิพาทเป็นของนายเสริมผู้ตายและของโจทก์ และสั่งว่าใบมอบอำนาจและคำขอจดทะเบียนสิทธิกับหนังสือยกให้ตามฟ้องเป็นโมฆะ ให้ทำลายเสีย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลแล้วสั่งคดีมีมูล ประทับฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์เป็นผู้ทำใบมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้โอนนาพิพาทให้จำเลยที่ ๑ แทนโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้กรอกข้อความในใบมอบอำนาจซึ่งโจทก์ได้ตรวจแล้วก่อนลงชื่อในฐานะผู้มอบอำนาจ การโอนนารายนี้ เป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนเพราะเป็นการโอนเพื่อชำระหนี้ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยทำไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการและกฎหมายโดยสุจริต ในฐานะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ และเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นใบมอบอำนาจที่แท้จริงถูกต้องใช้ได้ตามกฎหมาย และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นฟังว่า หนังสือมอบอำนาจ (ท.ด.๔) เป็นใบมอบอำนาจที่จัดทำขึ้นตรงกับข้อความที่มีอยู่ จำเลยไม่ผิดฐานปลอมเอกสารและไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม สำหรับแบบ ท.ด.๑ เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมฯ โจทก์จัดทำขึ้นไม่ใช่จำเลยสมคบกันกรอกข้อความลงบนลายมือชื่อของโจทก์ตามฟ้อง ข้อที่ว่าจำเลยที่ ๑ เบิกความเท็จยังฟังไม่ได้ และจำเลยที่ ๓ ไม่มีความผิดดังโจทก์กล่าวหาเมื่อคดีส่วนอาญาได้ความดังกล่าว จึงไม่อาจสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ตามโจทก์ขอในส่วนแพ่งได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในส่วนอาญาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายส่วนข้อเท็จจริงไม่รับและให้รับเป็นฎีกาในคดีส่วนแพ่ง
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ในส่วนอาญาล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ไม่มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะรับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะในคดีส่วนแพ่งว่าใบมอบอำนาจศาลหมาย จ.๑ เป็นเอกสารปลอมซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ทำลายและเรียกนาพิพาททั้ง ๓ แปลงคืนได้หรือไม่แล้ววินิจฉัยว่า
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โดยฟ้องว่านายเจิม จำเลยที่ ๑ และนายอุดมจำเลยที่ ๒ ร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจศาลหมาย จ.๑ ซึ่งเป็นหนังสือที่โจทก์มอบอำนาจให้นายอุดมจำเลยที่ ๒ โอนกรรมสิทธิที่ดินนาพิพาท ๓ แปลงให้นายเจิมจำเลยที่ ๑ โดยนายคำนึงจำเลยที่ ๓ สนับสนุนการกระทำดังกล่าว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงในข้อที่ว่าใบมอบอำนาจศาลหมาย จ.๑ ปลอมหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชี้ขาดถึงที่สุดไว้ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่า เป็นใบมอบอำนาจที่โจทก์ทำขึ้นตรงกับข้อความที่มีอยู่เป็นใบมอบอำนาจที่ถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยมิได้ปลอมขึ้นดังโจทก์ฟ้อง ฉะนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖
เมื่อฟังว่า ใบมอบอำนาจศาลหมาย จ.๑ ซึ่งมีข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายอุดมจำเลยที่ ๒ เป็นผู้มีอำนาจจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนาพิพาท ๓ แปลง ซึ่งโจทก์รับโอนมรดกจากนายเสริม วงษ์ชัย สามีโจทก์ให้กับนายเจิมจำเลยที่ ๑ เป็นเอกสารอันแท้จริงที่โจทก์มอบอำนาจดังกล่าวและข้อเท็จจริงฟังได้อีกว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำนิติกรรมหนังสือสัญญายกที่ดินนาพิพาททั้ง ๓ แปลงของโจทก์ตามที่ได้รับมรดกมานั้นให้นายเจิมจำเลยที่ ๑ ปรากฏตามเอกสารศาลหมาย จ.๘ จ.๙ และ จ.๑๐ ตรงตามใบมอบอำนาจของโจทก์ดังกล่าวแล้ว ดังนั้น การยกให้จึงสมบูรณ์มีผลบังคับตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกนาพิพาทคืนหรือขอให้ทำลายใบมอบอำนาจศาลหมาย จ.๑ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๕๐๐ บาท กับแทนจำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๒๕๐ บาท